โครงการนโยบายครอบครัวหลากหลายเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนานโยบายของ Thailand Policy Lab ที่ต้องการนำกระบวนการคิดใหม่ๆ อย่างแนวคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) และแนวคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) รวมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของสังคมมารับมือกับโจทย์ใหญ่ของประเทศไทยอย่างการก้าวสู่สังคมสูงวัย และอัตราการเกิดที่ลดลง รายงานของ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNFPA Thailand) ระบุว่าเมื่อปีพ.ศ. 2507 ผู้ตั้งครรภ์มีบุตรเฉลี่ย 6 คน แต่ปัจจุบันมีบุตรเฉลี่ยไม่ถึง 2 คน รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อย่างเช่น คนไทยอายุยืนขึ้น วิถีชีวิตคนที่เปลี่ยนไป รวมถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจอย่างหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นจาก 59.3% ในปีพ.ศ. 2553 เป็น 80.6% ในปีพ.ศ. 2557 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้รูปแบบครอบครัวของคนไทยหลากหลายขึ้นและจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ที่นโยบายด้านประชากรของประเทศไทยต้องก้าวให้ทันความเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ต้องตีความนิยามครอบครัวให้หลุดกรอบจากพ่อ-แม่-ลูก เพื่อออกแบบนโยบายให้สอดรับกับวิถีชีวิตครอบครัวที่หลากหลาย ที่รวมไปถึงกลุ่มหลากหลายทางเพศที่ต้องการและพร้อมจะมีบุตร หรือนโยบายที่ครอบคลุมถึงเยาวชนที่เกิดจากครอบครัวแม่วัยใส เยาวชนไร้สัญชาติ จนถึงเยาวชนที่ผู้ปกครองอยู่ในเรือนจำ เพื่อให้ความสำคัญกับคุณภาพของประชากร พร้อมๆ กับการรับมือกับอัตราการเกิดที่ลดลง โดยข้อมูลจากการทำสำรวจกว่า 700 ตัวอย่างเกี่ยวกับครอบครัวหลากหลายของ Thailand Policy Lab เมื่อเดือนมกราคม ปีพ.ศ. 2566 พบว่า 22% ของผู้ทำแบบสอบถามยังมองนิยามครอบครัวแบบพ่อ-แม่-ลูก 18.2% มองนิยามครอบครัวแบบอยู่กับสัตว์เลี้ยง 13.4% มองนิยามครอบครัวแบบครอบครัวขยาย 11.9% มองนิยามครอบครัวแบบอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข 11.8% มองนิยามครอบครัวแบบอยู่กับคนรักที่ไม่ต้องการมีลูก 7.6% มองนิยามครอบครัวแบบคู่ LGBTI ที่ต้องการได้รับการรับรองทางกฎหมาย 5.5% มองนิยามครอบครัวแบบครัวแบบคู่ LGBTI ที่ต้องการมีลูกและได้รับการรับรองทางกฎหมาย ขณะที่ 9.6% มองนิยามครอบครัวในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า 78% มองนิยามครอบครัวต่างออกไปจากนิยามครอบครัวแบบเดิมคือพ่อ-แม่-ลูก นอกจากนี้ยังพบว่ากว่า 800 ตัวอย่าง คนตัดสินใจจะไม่มีลูกถึง 51.5%
ประเด็นการก้าวสู่สังคมสูงวัยและอัตราการเกิดลดลงนับเป็นประเด็นที่เกี่ยวโยงกับทั้งโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อีกทั้งมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นรัฐไม่สามารถใช้วิธีการออกแบบนโยบายแบบบนลงล่าง (Tow-down) และนโยบายแบบเสื้อผ้าตัวเดียวสำหรับทุกคน (One-size-fits-all) ได้ Thailand Policy Lab จึงได้นำแนวคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) มาใช้ในการออกแบบนโยบายด้านประชากร ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการมองและแก้ปัญหาให้ถูกจุดเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพราะการแก้ปัญหาโดยขาดการมองภาพเชิงระบบจะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ โดยนิทรรศการ Diversity Cafe by Thailand Policy Lab ถือว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมนโยบายที่เรานำมาใช้กับการเก็บข้อมูลในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้สึกนึกคิดของประชาชน หรือข้อมูลเชิงคุณภาพที่สะท้อนบริบทของปัญหาได้มากกว่าตัวเลขและสถิติ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการออกแบบนโยบาย อย่างการเก็บข้อมูลและการร่วมออกแบบนโยบายเฉพาะกลุ่ม (Focus Group) เพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาเฉพาะกลุ่ม ก่อนเข้าสู่กระบวนการทดลองนโยบาย และบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาประชากรกับทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รู้จักนิยามครอบครัวหลากหลายผ่าน 6 ครอบครัวในแบบของฉัน
“สายสุนีย์ จ๊ะนะ” ชื่อนี้คือตัวแทนหญิงแกร่งแห่งประเทศไทย
“นิยามของครอบครัวคือความเข้าใจ ลูกจะไม่มีปัญหาถ้าเราใส่ความเข้าใจให้ลูก และเราเข้าใจตัวเรา”
สายสุนีย์ จ๊ะนะ แชมป์วีลแชร์ฟันดาบ ไม่ได้แข็งแกร่งแค่ในวงการกีฬา แต่ในวงการความเป็นแม่ เธอก็แข็งแกร่งไม่แพ้ใครหน้าไหน จะพูดว่าเธอเป็นตัวแทนแม่ๆ เลี้ยงเดี่ยวค่อนแผ่นดินไทยก็ว่าได้ เพราะประสบการณ์ของเธอคือประสบการณ์ร่วมของแม่เลี้ยงเดี่ยวมากมายในประเทศนี้ จะแตกต่างก็ตรงที่ว่า เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นผู้พิการ ที่ตัดสินใจมีลูกเมื่ออายุราว 40 ปี แต่หมอกลับบอกเธอว่า เธอไม่ควรมีลูก เพราะเธอพิการ
เมื่อครอบครัวคือความผูกพันที่เราเลือกเอง
“การใช้ชีวิตในฐานะตัวเองเต็มที่ ในแบบที่ยึดมั่นในการเป็นตัวเอง มันเท่ากับการเรียนรู้ที่จะทำให้คนอื่นผิดหวัง และเป็นการเรียนรู้ว่าความผิดหวังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเข้าไปรับผิดชอบด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบก็คือ การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองให้ดี”
ในฐานะเควียร์ที่เติบโตมาในครอบครัวพ่อแม่ลูกตามขนบสังคมไทย คัพเค้ก*เชื่อว่าครอบครัวไปไกลกว่าความผูกพันทางสายเลือด สำหรับคัพเค้ก ครอบครัวคือพื้นที่ปลอดภัย ที่ที่เราเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราก็ทำให้คนอื่นรู้สึกปลอดภัย ได้รับเกียรติ ได้รับความเชื่อใจว่าเราจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ ภาพครอบครัวในอนาคตของคัพเค้กคือชุมชนการอยู่ร่วมกันของเพื่อนๆ ที่มีความหลากหลายทางเพศและสัตว์เลี้ยง ที่เป็นแรงใจ แรงขับเคลื่อนของชีวิต
‘อุ้ย กับ ทอม’ 20 ปีจากจดหมายรัก สู่วันที่สมรสเท่าเทียมใกล้ความจริง
“กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้คำว่าฝ่าฟันมาเยอะ เราโชคดี เรารักกันจริงๆ มันเลยผ่านมาได้ ช่วงที่ลำบากที่สุด ยากที่สุด เราเลยสามารถจับมือแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เราต่อสู้ด้วยกันมา”
“รักแรกพบเหมือนในหนังเวลามีลำแสงพุ่งออกมาจากเค้าเลย” อุ้ย กับ ทอม อธิบายถึงเหตุการณ์ที่ทั้งคู่พบกันครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในปี 1999 ช่วงเวลาที่ค่าโทรศัพท์ทางไกลแพงแสนแพง โซเชียลมีเดียยังไม่เกิด ไม่มีไลน์ ไม่มีวิดีโอคอล ได้แต่เขียนจดหมายรักส่งจากไทยไปสิงคโปร์ เป็นคู่รักเกย์ที่อยู่ด้วยกันมา 20 กว่าปี จนตัดสินใจจัดงานแต่งงานไปเมื่อปี 2019 แต่ก็เป็นการแต่งงานที่ปราศจากกฎหมายคุ้มครอง สำหรับคู่รักเพศเดียวกัน ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าการได้รับสิทธิอันเท่าเทียม
อยู่คนเดียวอย่างมีความสุข อยู่แบบ Happy Solitude
“อยากให้มองเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงตามเพศกำเนิด ว่าเป็นเด็กคนนึง ไม่ได้มองตามเพศของเค้า อยากจะให้เลี้ยงเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงให้เหมือนกัน จะช่วยลดการตีตราและเลือกปฏิบัติทางเพศได้”
เจเป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ เพศกำเนิดของเขาเป็นหญิง แต่อัตลักษณ์ทางเพศ ตัวตนของเขาเป็นชาย เจเล่าว่าพ่อแม่สังเกตเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับ “เด็กผู้หญิงทั่วไป” และด้วยความเป็นลูกคนเดียว จึงพยายามเปลี่ยนตัวเองให้พ่อแม่สบายใจ จนได้เริ่มเป็นตัวเองมากขึ้นเมื่อมีอิสระมากขึ้น
เจฝากถึงเด็กๆ LGBTI ที่ยังค้นหาตัวเองว่า จงอย่าเกลียดตัวเองและยืนยันที่จะเป็นตัวเอง เพราะเมื่อมองย้อนกลับไป เราจะขอบคุณตัวเองที่เราเคารพในสิ่งที่เราเป็น ทุกวันนี้เจแฮปปี้กับการอยู่คนเดียวที่มองว่าก็เป็นครอบครัวรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสังคมต้องไม่ตีตราและตัดสิน
ครอบครัวแม่-แม่-ลูกที่โอบกอดกัน ด้วยความรักและความกล้าหาญ
“ลูกเราก็โดนบุลลี่จริงๆ เพราะมีแม่สองคน แต่มันไม่ได้เป็นความผิดที่เราดูแลลูกไม่ได้ เราไม่ได้ขาดตกบกพร่อง แต่ลูกเราถูกบุลลี่เพราะโรงเรียนไม่สอนว่าครอบครัวมีความหลากหลาย มันคือความผิดของสังคมที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ”
เจี๊ยบ กับ จุ๋ม เป็นคู่รักเลสเบี้ยนที่สร้างครอบครัว “แม่ แม่ ลูก” ขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความเกลียดชังทางเพศ โรงเรียนลูกที่ไม่เข้าใจ จนถึงกฎหมายที่ไม่คุ้มครองครอบครัวหลากหลายทางเพศ แต่พวกเธอก็สู้ไม่ลดละ
“เราสร้างครอบครัวด้วยความรัก ด้วยความกล้าหาญจริงๆ เราไม่เคยกลัวเลยว่าใครจะมาอะไรกับเรา แล้วเราสู้ ลูกก็จะเห็นที่เราสู้” เจี๊ยบกล่าว ครอบครัว “แม่ แม่ ลูก” นี้จึงอยู่กันด้วยความเข้าใจ เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้แก่กันและกัน ที่พิสูจน์แล้วว่าครอบครัวคือความรัก ความเข้าใจ ไม่ถูกตีกรอบจำกัดด้วยค่านิยมของสังคม
ครอบครัวหลายวัย ที่บ้านเป็นเสมือนชุมชนขนาดย่อม
“ทุกวันนี้ที่เราดำรงชีวิตอยู่ เราไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเอง เรานึกด้วยว่าพ่อแม่เราแก่ตัวไปแล้วอยู่ยังไง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่มีเงินบำนาญ มันไม่ใช่เรื่องของความกตัญญูหรืออะไรนะ แต่มันคือเรื่องของการเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะถ้าเป็นครอบครัวแล้ว เราก็อยากให้เค้าอยู่ดีมีสุขตลอดชีวิตของเค้า”
จุ๊บเติบโตมาในบ้านที่มีคนสามวัยอยู่ร่วมกัน อากง อาม่า พ่อแม่ พี่ชาย และตัวจุ๊บเอง บ้านจึงเป็นเหมือนชุมชนขนาดย่อมที่ทุกคนแชร์พื้นที่ร่วมกัน และการเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานให้เติบโตขึ้นมาก็เป็นความร่วมมือของทุกคน จุ๊บใช้ชีวิตแบบแบ่งเวลาให้กับครอบครัว คนรอบตัวของจุ๊บแทบไม่มีใครอยากมีลูกหรือสร้างครอบครัว เธอมองว่าหลายคนไม่ได้ไม่อยากมีลูก แต่ด้วยสภาพสังคมและสภาพเศรษฐกิจ คนรุ่นใหม่มักรู้สึกว่า ถ้าไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้ตัวเองและกับลูกได้ ก็ไม่มีดีกว่า