สายสุนีย์ จ๊ะนะ แชมป์วีลแชร์ฟันดาบ ไม่ได้แข็งแกร่งแค่ในวงการกีฬา แต่ในวงการความเป็นแม่ เธอก็แข็งแกร่งไม่แพ้ใครหน้าไหน จะพูดว่าเธอเป็นตัวแทนแม่ๆ เลี้ยงเดี่ยวค่อนแผ่นดินไทยก็ว่าได้ เพราะประสบการณ์ของเธอคือประสบการณ์ร่วมของแม่เลี้ยงเดี่ยวมากมายในประเทศนี้ จะแตกต่างก็ตรงที่ว่า เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นผู้พิการ
ประสบการณ์ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นผู้พิการ บอกอะไรกับเรามากมายเกี่ยวกับความเป็นแม่ในสังคมไทย
“หมอมองว่าเราอายุ 40 แล้ว ไม่ควรมีลูก” สายสุนีย์เล่า แต่ก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ทัศนคติของบุคลากรแพทย์ที่ว่าผู้พิการไม่ควรมีลูก เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เธอถูกคัดค้าน แต่ด้วยความอยากเป็นแม่ที่แรงกล้า เธอก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้น และได้เป็นแม่คนในที่สุด
แต่อุปสรรคก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น “เรามีภาวะแพ้ท้องอย่างแรงจนท้องได้ห้าเดือน ไปไหนก็ไม่ได้ กินอะไรก็ไม่ได้ แรงไม่มี พิการด้วย ทำอะไรก็ลำบากไปหมด เดือนที่ 7-9 หนักมาก เช่น ไปห้าง ก็ต้องหาที่ที่สะดวก บางห้างห้องน้ำคนพิการหายากมาก เช่น มีห้องน้ำทุกชั้น แต่ห้องน้ำคนพิการไม่มีทุกชั้น แล้วเราท้องมันปวดฉี่บ่อย แม้แต่การอาบน้ำก็ยากมากๆ เราต้องอาบด้วยเก้าอี้รถเข็น ย้ายตัวเองไม่ได้เลย ต้องช่วยกัน” สายสุนีย์เล่า และก็โชคดีที่ ณ เวลานั้น เธอมีทั้งแฟน มีน้องสาว และแม่ ที่คอยช่วยเหลือ และคอยแก้ปัญหากันไปทีละขั้น
หลังจากที่สายสุนีย์คลอดลูกด้วยการผ่าตัด ประสบการณ์หลังคลอดก็ย้ำกับเราอีกว่า การเลี้ยงเด็กอาศัยแรงกำลังจากทั้งแม่และผู้คนรอบกาย และสวัสดิการที่สังคมไทยมีให้แม่ ก็ยังไม่ดีพอ “หลังคลอดก็หนักอีก ด้วยความที่เราพิการ เราผ่าคลอดแล้วไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย เพราะเจ็บท้องผ่า ประกันสังคมเบิกได้แค่หมื่นกว่า แต่เราเสียค่าคลอดสามหมื่นกว่า ให้อยู่โรงพยาบาลได้แค่สามวัน แต่ด้วยภาวะพิการ เราควรอยู่เจ็ดวัน เพราะพิการแล้วดูแลตัวเองไม่ได้เลย แต่มีน้องสาวกับแม่มาช่วยดูแล ถ้าไม่มีก็ลำบากมาก”
ก่อนจะมีลูก สายสุนีย์เป็นกำลังหลักของครอบครัวมาตลอด นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบคนนี้ขับเคลื่อนชีวิตด้วยความแข็งแกร่ง เธอหาเลี้ยงครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ส่งน้องสาวเรียนจนจบ หลังคลอด ความแข็งแกร่งของเธอก็ไม่มีลดละ แต่ก็เหมือนกับหลายๆ ครอบครัวในสังคมไทยที่พ่อแม่ทำงานหาเงิน และต้องส่งลูกไปอยู่กับปู่ย่าตายายที่ต่างจังหวัดด้วยความจำเป็นทางอาชีพการงาน ชีวิตของสายสุนีย์ก็เป็นเช่นนั้น เธอกลับไปทำงานประจำวันหลังลูกอายุครบหกเดือน
“พยายามให้น้องได้กินนมเราถึงหกเดือน หลังจากนั้นก็เอาลูกไปให้คุณยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด น่าจะเหมือนคนไทยเกือบ 50% ที่มาทำงานในกรุงเทพ พอมีลูกก็ต้องเอากลับไปให้คนบ้านนอก ไปให้พ่อแม่เราเลี้ยง ตอนนี้น้องโตแล้ว พอได้สามขวบก็เอาน้องกลับมา เพราะเข้าอนุบาลได้ คุณยายก็ตามมา ตอนนี้น้องแปดขวบแล้ว แต่ไม่ได้อยู่กับเราทุกวัน เพราะเรามาซ้อมกีฬาอยู่ต่างจังหวัด
ตอนเอาน้องไปฝากไว้กับคุณยาย เราได้แต่ร้องไห้ เวลาเอาลูกไปส่งกลับมาก็ร้องไห้ สมัยก่อนไม่มีวิดิโอคอล โทรหาได้ยินเสียงก็ร้องไห้ คิดถึง เป็นห่วง เค้าจะโตยังไง เริ่มเดินแล้วล้มไหม มีช่วงนึงลูกไม่สบาย เป็นไข้ เข้าโรงพยาบาล แต่เราไม่สามารถไปหาได้เลยเพราะเราอยู่กรุงเทพฯ สุขทุกข์ปนกัน แต่ก็อาศัยความเข้าใจว่ามันก็เป็นแบบนี้” สายสุนีย์เล่า
เมื่อถามถึงการลาคลอด เธอกล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจว่าบางอย่างก็เป็นอย่างที่มันเป็น “แต่ในโลกอุดมคติ ใครๆ ก็อยากลาคลอดได้เป็นปีทั้งนั้น ทุกคนอยากได้สัก 6 เดือนถึงหนึ่งปี”
ในเวลาต่อมา สายสุนีย์แยกทางกับพ่อของลูกด้วยทัศนคติและวัยที่ต่างกัน ณ เวลานี้เธอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองแทบทั้งหมด เป็นอีกครั้งในชีวิตที่ความแข็งแกร่งภายในของเธอ ทำให้ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ สิ่งสำคัญที่สุดในความคิดเธอ คือการสร้างความเข้าใจให้กับลูก เก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ ไม่ส่งต่อความรู้สึกไม่ดี เพื่อให้ลูกเข้าใจว่ารูปแบบของครอบครัว ไม่สำคัญเท่ากับความรักความเข้าใจที่มีให้กัน “คิดถึงความละเอียดอ่อนในใจของลูกมากกว่า เราไม่ใส่ภาวะในใจเราให้ลูก เราเลยไม่เอาความรุนแรงใส่เค้า ให้เค้าเข้าใจมากกว่า” สายสุนีย์กล่าว
หลังจากกลายมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเต็มตัว ความแข็งแกร่งยิ่งทบทวีคูณ จากเคยมีพ่อของลูกช่วยเหลือสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ตอนนี้เธอต้องลุยด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าจะมีน้องสาวช่วยดูแลลูกในวันธรรมดา แต่เธอก็พยายามทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่กลับจากการฝึกซ้อมกีฬามาดูแลลูก ตั้งแต่ขับรถ ยกรถเข็นขึ้นลงรถเอง หรือพาลูกไปเรียนพิเศษ ไปทานไอศกรีมที่ห้างสรรพสินค้า แต่เชื่อหรือไม่ว่า การจอดรถที่ห้าง ซึ่งดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับใครหลายคน ก็เป็นความท้าทายสำหรับเธอ
“เวลาไปส่งน้องเรียนพิเศษ บางครั้งหาที่จอดรถคนพิการไม่ได้ เพราะมีคนปกติไปจอดแทนเรา พอจอดเทียบไม่ได้ก็เอารถเข็นลงลำบาก แล้วต้องฝึกตัวเองยกรถขึ้น แล้วต้องให้ลูกช่วย มันเหนื่อยและลำบาก แต่ก็ทำได้ ช่วงแรกเรามีน้ำตาว่าทำไมต้องให้ลูกช่วย แต่เราก็ปรับว่า โอเค ไม่เป็นไร แค่อาทิตย์ละครั้งเอง มันก็เริ่มดีขึ้น เราดูแลลูกได้ ถ้าน้าเค้าไม่ว่างเราก็ไปไหนกันสองคนได้ ตอนนี้น้องแปดขวบ ก็เริ่มช่วยเราได้ แม่กับลูกไปด้วยกัน เค้าเข็นแม่ได้ คนเห็นก็ชมว่าน่ารักช่วยแม่”
เธอเล่าว่าการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นเหนื่อย แต่ทุกวันนี้เธอมีความสุข ถึงแม้ในเดือนนึงจะแทบไม่มีวันพักเลยก็ตาม จันทร์ถึงศุกร์ซ้อมกีฬา เสาร์อาทิตย์ก็เลี้ยงลูก เธอทำเต็มเสมอไม่ว่าจะในบทบาทใด “นิยามของครอบครัวคือความเข้าใจ ถ้าเราใช้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม… ลูกจะไม่มีปัญหาถ้าเราใส่ความเข้าใจให้ลูก และเราเข้าใจตัวเรา ในเมื่อถึงเวลาที่เราไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่พอเราใช้ความเข้าใจ เข้าใจตัวเรา เข้าใจความเป็นจริง เราก็ใส่ให้ลูกด้วยความที่ให้ลูกเข้าใจในบริบทว่าพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็ยังมีเรา มันจะไม่มีปมด้อยให้ลูก” เธอย้ำ
เมื่อถามว่าอยากให้นโยบายรัฐอะไรเป็นจริง เธอตอบว่าอยากให้มีกฎหมายรองรับสิ่งอำนายความสะดวกสำหรับคนพิการอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่พิการมาใช้ที่จอดรถ หรือให้สถานที่สาธารณะมีห้องน้ำรองรับคนพิการ อยากให้แม่ลาคลอดได้ถึงหกเดือน เพื่อให้ความสัมพันธ์แม่ลูกแข็งแรงขึ้น และให้เด็กน้อยมีสภาพร่างกายสมบูรณ์
“อยากให้รัฐมาสนับสนุนดูแลสวัสดิการให้แม่และลูก เช่นคลอดมาแล้วมีเงินเดือนให้ ประกันสังคมให้ลูกเราแค่หกร้อย [ต่อเดือน] มันน้อยไป สตาร์ทน่าจะสองพัน อย่างแม่คนพิการคนอื่นๆ ที่ไม่มีญาติ เรียกแท็กซี่บางทีเห็นพิการก็ไม่รับนะ”
“มันเหนื่อยและลำบาก แต่ก็ทำได้” ประโยคนี้จากสายสุนีย์คงเป็นแรงใจให้ใครหลายคน เธอผ่านมาได้เพราะมีครอบครัวคอยให้กำลังใจ มีคุณยายและน้าสาวที่ช่วยเลี้ยงดูลูก แต่ที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายในของเธอเอง
กดฟังเรื่องราวของคุณแววผ่านเสียงของเธอเองได้ข้างล่าง