เจเป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ เพศกำเนิดของเขาเป็นหญิง แต่อัตลักษณ์ทางเพศ ตัวตนของเขาเป็นชาย เจเล่าว่าพ่อแม่ก็สังเกตเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับ “เด็กผู้หญิงทั่วไป” และด้วยความเป็นลูกคนเดียว จึงพยายามเปลี่ยนตัวเองให้พ่อแม่สบายใจ พยายามกลับไปเป็น “ปกติ” ซึ่งใครเป็นคนจำกัดความก็ไม่ทราบได้
“[ตอนนั้น] มีความเกลียดตัวเอง ซึ่งคิดว่า LGBTI หลายคนเป็นแบบนี้ เพราะสังคมบอกเราว่าเราไม่ปกติ เราเจอ struggle นี้มาตั้งแต่ประถมมัธยม ช่วงมัธยมเครียดมาก ทำตัวไม่ถูก เราเรียนโรงเรียนสห มีเพื่อนทอมคนเดียว คนนี้มีปัญหากับตัวเองกับที่บ้านเหมือนกัน support system มีน้อยมาก เพราะมีกันแค่สองคน กลับไปบ้านก็เจอปัญหาว่าทำไมไม่ใส่กระโปรง ใส่แค่ตอนไปโรงเรียน ไปงานนั่นนี่ไม่ใส่”
แต่เมื่อโตขึ้น เข้ามหาลัย ย้ายจากชลบุรีเข้ามาเรียนที่จุฬาฯ เจต้องอยู่หอ จึงมีอิสระที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น เพราะไม่ต้องอยู่ในสายตาพ่อแม่อีกต่อไป “พอเข้ามหาลัยเริ่มมีอิสระ แต่ก็อยู่ในกรอบการใส่ชุดนักศึกษาอยู่ เพราะเรียนจุฬามันมีความ traditional เยอะ แต่ดีอย่างคือไม่ต้องอยู่ในสายตาพ่อแม่แล้ว พอทำงานปุ๊ปก็ไม่โดนตีกรอบการแต่งตัว เราทำงาน UN มันมีความฟรี ความเปิดกว้าง ไม่มีใครสนใจว่าเราแต่งตัวยังไง เค้าสนใจแค่ว่าเราทำงานได้ไหม สนใจความสามารถและสมองของเราเท่านั้น ตั้งแต่ทำงานมาก็มีความสุขในแง่ที่ว่าเราเป็นตัวของตัวเอง เป็นเพศตัวเองได้ ตอนนี้แทบไม่มีอะไรละ challenge ตอนนี้ที่เจอมันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะ ผู้หญิงบางคนเดินสวนกับเราเค้าไม่สะดุด แต่บางคนก็ชะงัก มองป้าย แล้วค่อยเดินเข้า อันนี้เจอประจำตลอดเวลาที่เข้าห้องน้ำสาธารณะ ก็เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้รำคาญใจ” เจเล่า
“ตอนนี้ไม่มี self-hate [ความเกลียดชังตัวเอง] แล้ว เพราะว่ารับได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็น นึกถึงงานศึกษาที่ UNDP เคยทำ ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์ของเราด้วยว่า คนที่เป็น LGBTI ในวัยเด็ก คือวัย 10 กว่าถึง 20 ต้นๆ เนี่ย เจอ challenge เยอะสุดในเรื่องของสุขภาพจิต ทั้งบุลลี่ที่โรงเรียน ทั้งการไม่ยอมรับจากคนรอบตัว คนที่บ้าน ทำให้เค้าเครียดมาก แต่พอเป็นผู้ใหญ่ การบุลลี่มันไม่ได้มาในรูปแบบสมัยเด็กแบบการเรียกไอ้ตุ๊ด ไอ้กะเทย คือมันก็ยังมีอยู่ แต่มันแยบยลกว่า เราก็จัดการมันกับมันได้”
เจย้ำกับเด็กและเยาวชน LGBTI และให้กำลังใจว่า “น้องเป็นตัวของน้องเอง อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากรอบหรือความคาดหวังของสังคมเลย ณ เวลานี้เราอาจจะมองว่าถ้าไม่ฟิตอินจะลำบาก แต่จากประสบการณ์พี่ ตอนนั้นเราอาจจะคิดอย่างนั้น แต่เวลาผ่านไปมันไม่ใช่ end of the world แต่ถ้าเราอดทน เป็นตัวเอง ไม่พยายามหลบซ่อน ไม่เกลียดตัวเอง มันจะดีกับสุขภาพจิตตัวเอง พอผ่านจุดนั้นมาได้ มองย้อนกลับไป เราจะขอบคุณตัวเองที่เราเคารพตัวเราที่เราเป็น และเราดำเนินชีวิตในแบบที่เราอยากดำเนินชีวิต เพราะในที่สุดแล้วเนี่ย ชีวิตมันก็คือของเรา คนที่เป็นพ่อเป็นแม่เค้าคิดว่า เค้ากำลังพยายามสอนเราในสิ่งที่ดีที่สุด แต่นั่นคือสิ่งที่เค้ามองว่าดีที่สุด ซึ่งเกิดจากการปลูกฝังเรียนรู้ของคนรุ่นของเค้า มันอาจจะไม่เหมาะกับคนรุ่นเรา เรารับฟังจากสิ่งที่เค้าสอนได้ส่วนนึง แต่ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเราเอง”
นอกจากนั้นเจยังฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกมีหลานเป็น LGBTI ว่า “อยากให้มองเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงตามเพศกำเนิด ว่าเป็นเด็กคนนึง ไม่ได้มองตามเพศของเค้า อยากจะให้เลี้ยงเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงให้เหมือนกัน ไม่เลี้ยงว่าเด็กผู้ชายโตขึ้นมาต้องเป็นผู้นำ ต้องพูดเสียงดัง ต้องเล่นกีฬา ต้องแข็งแรง ต้องเป็นไปตามบทบาทผู้ชาย และเด็กผู้หญิงไม่ต้องทำกับข้าว ทำงานในบ้านอย่างเดียว เลี้ยงเด็กผู้หญิงและผู้ชายให้เหมือนกัน อันนี้สำคัญที่สุดเลย เพราะจะช่วยลดการตีตราเลือกปฏิบัติเพศต่างๆ ออกไป มันจะลบความคาดหวังของสังคมว่าเพศไหนต้องเป็นยังไง”
เมื่อถามว่าวางแผนครอบครัวในอนาคตไว้อย่างไร เจมองว่าการอยู่ตัวคนเดียวอย่างมีความสุข (happy solitude) ก็เป็นครอบครัวรูปแบบหนึ่ง อยากให้สังคมเข้าใจ ไม่ตีตรา ด้วยความเชื่อว่าคนแต่ละคนมีสิทธิออกแบบชีวิตของตัวเอง “ณ จุดนี้ของชีวิตมองว่าความสัมพันธ์มาพร้อมความคาดหวัง ความผิดหวัง ความไม่แน่นอน คนที่เค้าโชคดีอาจเจอคนที่เข้ากันได้ อยู่ด้วยกันได้นานๆ ณ เวลานี้เรามองว่ายังไม่เจอคนๆ นั้น พอผ่านความสัมพันธ์มาเยอะเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอ ไม่ได้ขวนขวายแล้ว แต่ถ้ามีเข้ามาก็ดี ตอนนี้มองว่าให้เงินดูแลเราตอนเราแก่ดีกว่า ทำงาน เก็บเงิน รักษาสุขภาพ”
และภาพครอบครัวในอนาคตของเจก็มีเพื่อนอยู่ด้วย “เคยคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นทอม ยังคุยเล่นกันว่าตอนแก่น่าจะมาอยู่ด้วยกันมั๊ย อยู่ใกล้ๆกัน จะใช้คำว่า community ก็ได้ อยู่ละแวกใกล้ๆกัน ไปมาหาสู่ พึ่งพากันได้ เคยเห็นคนแก่ที่ไม่รู้วิถีทางเพศเค้าอะไรนะ วัยใกล้ๆ กัน ไปเที่ยวด้วยกัน นั่งเล่นหมากรุก เดินสวนสาธารณะด้วยกัน เป็นแก๊งคนแก่ เราก็มองภาพแบบนั้นกับเพื่อนเราตอนแก่” เจเอ่ย เพราะมองว่าครอบครัวคือคนที่ทำให้เรารู้สึก “feel at home and at peace” [รู้สึกเหมือนอยู่บ้านและสงบสุข] รักและรับในสิ่งที่เราเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไข ครอบครัวสำหรับเจจึงไม่ใช่แค่ความผูกพันธ์ทางสายเลือด แต่คือคนที่เราเลือกเอง
แต่เจก็แสดงความกังวลว่าภาพครอบครัวในอนาคตของเขา ถึงแม้จะเป็นภาพง่ายๆ เป็นความฝันชีวิตวัยชราที่ไม่ได้ทะเยอทะยานก็อาจไม่เป็นจริง เพราะ “ผังเมืองก็อาจจะเป็นอุปสรรคในการ get together กับเพื่อนตอนแก่ คงลำบากน่าดู ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนยังไม่สะดวกเลย” เจเอ่ย
ในฐานะคนทำงาน UNDP เจทิ้งท้ายว่าเขาสนับสนุนกฎหมายนโยบายทุกรูปแบบที่จะคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมสิทธิคนทุกเพศ ไม่ใช่แค่ LGBTI และย้ำว่าแนวคิดการอยู่ตัวคนเดียวอย่างมีความสุข หรือ happy solitude ก็เป็นวิถีชีวิตแบบหนึ่งที่ควรได้รับความเคารพ
“อยากบอกว่า happy solitude ก็เป็นครอบครัวรูปแบบนึง หลายครอบครัวยังมองว่าคนโสดไม่ได้โสด by choice และมองว่า life goal ของคนเราคือการมีคู่ครอง ต้องมีคนอยู่ด้วย แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีแนวโน้มแบบนี้เยอะ การเป็นโสดมันไม่ผิด อยากให้มองว่าคนโสดก็ happy by choice สังคม cishetnormative ยังคาดหวังกับลูกหลานที่ยังไม่แต่งงานให้แต่งงาน สังคมจะมองว่าเราถึงวัยมีคู่ ไม่อยากให้มองแบบนั้น อยากฝากว่า การที่หลายคนเลือกอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข เค้ามีความสุขของเค้าเองได้ คนแต่ละคนออกแบบชีวิตตัวเองได้” เจกล่าว
คลิกฟังเรื่องราวของเจผ่านเสียงของเขาได้ด้านล่าง