จุ๊บเป็นหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ผู้เติบโตมาในบ้านที่มีคนสามวัยอยู่ร่วมกัน อากง อาม่า พ่อแม่ พี่ชาย และตัวจุ๊บเอง นอกจากนี้ก็เคยป้ากับอาและลูกพี่ลูกน้องที่ย้ายออกไปตอนประถม แต่ก็ยังอยู่ละแวกใกล้ๆ กัน บ้านจึงเป็นเหมือนชุมชนขนาดย่อมที่ทุกคนแชร์พื้นที่ร่วมกัน และการเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานให้เติบโตขึ้นมา ก็เป็นความร่วมมือของทุกคน
เมื่อถามคนในบ้านจุ๊บว่าครอบครัวคืออะไร สมาชิกแต่ละคนให้คำตอบแตกต่างกันไป แต่ความรักคือคือรากฐานของคำจำกัดความครอบครัว
“ครอบครัวเป็นสายเลือดหรือเป็นครอบครัวที่เราเลือกก็ได้ ครอบครัวคือกลุ่มคนที่รักและยอมรับเราแบบไม่มีเงื่อนไข และผ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตไปด้วยกัน” จุ๊บว่า
“ครอบครัวคือกลุ่มคนที่อยู่และผูกพันกันด้วยความรัก เป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นจุดมุ่งหมาย เป็นหน้าที่ เป็นปัญหาก็ยังเป็นได้ เป็นความภูมิใจ ความดีใจ ความเสียใจ เป็นทุกอย่าง” แม่จุ๊บกล่าว
“ครอบครัวคือคนที่เรารักและพร้อมจะช่วยเหลือทุกเมื่อ” พ่อจุ๊บว่า
จุ๊บเล่าว่าครอบครัวเธอมีสายสัมพันธ์แนบแน่น ตั้งแต่เธอเด็กๆ การดูแลเลี้ยงลูกหลานเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสมาชิกครอบครัว “คนที่เลี้ยงเราเป็น whole effort ทุกคนช่วยกันเลี้ยง เพราะทุกคนทำงานที่ออฟฟิศของที่บ้าน ยกเว้นคุณป้าคุณอา โตมาแบบพ่อแม่อยู่ไหนเราก็ถูกหิ้วไปด้วย พ่อแม่อยู่ออฟฟิศเราก็อยู่ออฟฟิศ ตั้งแต่หย่านมตอนสี่ห้าขวบก็นอนห้องเดียวกับอากงอาม่า เพิ่งมามีห้องส่วนตัวตอนโควิดเอง เมื่อก่อนถ้ายังไม่เข้านอน อากงอาม่าก็จะเดินมาตาม ถ้านอนดึกตื่นเช้าก็จะบอกพ่อแม่ว่าเรานอนดึก แรกๆ ที่แยกห้องออกมาอากงอาม่าก็มีประท้วงว่าไม่เห็นต้องแยกเลย แต่มันมีช่วงที่เราติดโควิด เลยต้องแยกห้องออกมา แล้วแยกยาวเลย”
การอยู่ในครอบครัวขยายเช่นนี้ทำให้ความเป็นปัจเจกของจุ๊บหดตัว แต่ทำให้รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และแบ่งปันเวลาให้ครอบครัวเสมอ “มันเหมือนอยู่ในชุมชนขนาดย่อม พื้นที่ในบ้านทุกคนก็แชร์กัน ตั้งแต่เด็กๆ ทีวีก็แบ่งกันดู เราก็ไม่ได้เลือกช่อง ตามใจผู้ใหญ่ มันมีเซ้นส์ความถ้อยทีถ้อยอาศัยเยอะ มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตแบบแบ่งเวลาให้กับครอบครัวด้วย เราต้องกินข้าวด้วยกันสักมื้อนึงต่อวัน แฟน เพื่อนรอบตัวเราก็จะรู้ว่าวันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว” จุ๊บเล่า
เมื่อถามถึงการมีครอบครัวของตัวเองในอนาคต จุ๊บบอกว่ายังไงก็ได้ เธอไม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวขยาย “แต่นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน ว่าถ้าเป็นครอบครัวเดี่ยวก็อาจจะเหงาๆ หน่อยมั้ง แต่จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในชีวิตด้วยว่ายังไง จำเป็นต้องเอาใครมาอยู่ด้วยไหม จริงๆ เราก็ไม่ได้มองแค่สายเลือดด้วย ก็ยังมีพูดกับเพื่อนเลยว่าถ้าต่อไปเธอโสด กลัวแก่ตายคนเดียว มาอยู่บ้านชั้นก็ได้ ชอบอยู่กับคนหลายๆคน มากกว่าอยู่คนเดียว”
เมื่อถามว่าการเป็นครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน และเป็นลูกสาวคนเด็กของครอบครัว ทำให้เกิดความตึงเครียดอะไรบ้างไหม จุ๊บเล่าว่าก็มีบ้าง แต่ครอบครัวจุ๊บเองไม่ได้เคร่งขนบธรรมเนียม และจุ๊บก็โชคดีกว่าพี่ชายในเรื่องโรงเรียน “เราค่อนข้างจะโชคดีกว่าพี่ชายด้วยในเรื่องการเรียน เพราะว่าได้เรียน English Program แต่เด็ก แม่ก็ผลักดันให้เรามีการศึกษาที่ดีที่สุด เรื่องที่เราคับข้องใจอาจจะเป็นเรื่อง บรรทัดฐานทางเพศมากกว่า แต่ไม่ได้คิดว่าเค้ารักเราน้อยกว่านะ อย่างอาม่าอากงจะไม่ค่อยอะไร แต่แม่ก็จะมีความมายุ่งเรื่องการแต่งตัวของเราหน่อย ว่าเรียบร้อยไหม เราจะไปค้างที่ไหน แน่นอนว่ามาตรฐานมันต่างกันมากระหว่างลูกผู้หญิงกับผู้ชาย ในเรื่องความเนี้ยบ ความสะอาด หรือการใช้ชีวิตที่ มันคำนึงถึงคนอื่น มันต่างกันคนละโยชน์เลย” จุ๊บเล่า
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับครอบครัวเชื้อสายจีนอีกหลายๆ ครอบครัว ครอบครัวจุ๊บก็ปฏิบัติกับลูกหลานหญิงชายไม่ต่างกัน จุ๊บเล่าว่าความแฟร์ในครอบครัวเริ่มมาจากรุ่นทวด “ถ้าในครอบครัวจีนสมัยก่อน ผู้ชายจีนที่มาทำธุรกิจที่ไทยจะมีภรรยาคนนึงที่จีน อีกคนที่ไทย แต่ทวดเรามีภรรยาที่จีน แล้วพอมาทำมาหากินที่ไทยก็ไม่ได้มีภรรยาอีกคนที่ไทย ผู้ชายคนอื่นในครอบครัวก็ไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง อากงก็เป็นคนที่เคารพทางเลือกในชีวิตของลูกมาก ไม่เคยบังคับให้ทำอะไร ชีวิตของลูกให้ลูกเลือกเอง แล้วก็คอยสนับสนุน วิธีการจัดการมรดกของอากงเค้าก็ให้ลูกทุกคนเหมือนๆ กัน ไม่ได้ให้แค่ลูกชายคนโต แล้วเค้าก็สนับสนุนการศึกษาของเรามากๆ อากงอาม่าก็จะใจดีตลอด หวังดีกับหลาน แทบไม่เคยดุเรา เวลาถามไถ่อะไรเรา เราทำอะไรเค้าก็จะว่า ดีๆๆๆ ทุกอย่างดีหมด เราเป็นหลานรักของอากงด้วยซ้ำ เค้าเป็นคนแฟร์ๆ”
แล้วจุ๊บก็ถูกเลี้ยงให้สนิทกับกับพ่อแม่ และเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ “แม่ก็จะออกแนว Asian Tiger Mom เป็นสาย tough love เราก็เรียนรู้ที่จะสังเกตเห็นความรักในแบบของเค้า ว่าจริงๆ เค้ารักเรามาก เค้าเสียสละอะไรเยอะมากเพื่อลูกเยอะมาก เสียสละอาชีพการงาน ทุกวันนี้ก็ยังตื่นเช้าทำอาหารให้เรากิน ส่วนพ่อก็พยายามเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เราก็จะท้าทายเค้าเยอะ พ่อบอกว่าเลี้ยงเราต้องใช้สมองเยอะมาก เพราะเราจะเถียงเยอะ แต่พอเราเถียงอะไรไป เค้าก็จะฟังเรา เปลี่ยนมุมมอง เค้าชอบที่เรามีหัวคิดเป็นของตัวเอง”
และสำหรับจุ๊บ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนรักเด็ก แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะตัดสินใจมีลูกในอนาคต
“เราเป็นคนรักเด็ก แต่ถ้ามีลูกก็ต้องพร้อมทางการเงิน ไม่ได้พูดว่าแค่คนมีเงินเท่านั้นถึงควรมีลูกนะ แต่เลี้ยงลูกมันต้องใช้เงิน ถ้าถึงตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีคุณภาพดี ที่มาตรฐานพอๆ กันทั้งประเทศ ก็ต้องใช้เงินซื้อ แล้วยังต้องสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้ทั้งตัวเองและลูก อีกอย่างคือวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือความพร้อมที่จะดูแลลูก และถ้ามีลูกก็ไม่อยากมีคนเดียวด้วย อยากมีสองคน เพราะมีเพื่อนที่เป็นลุกคนเดียว เค้าก็ดูเหงา และดูต้องแบกรับภาระในฐานะลูกคนเดียว จะขยับตัวทำอะไรก็ไม่สะดวก ต้องดูแลพ่อแม่ที่พึ่งตัวเองได้คนเดียว ถ้ามีพี่น้องมันก็สลับกันได้ ดังนั้นหมายความว่าเราต้องพร้อมดูแลเด็กสองคน และต้องดูความพร้อมของเรากับแฟนตอนนั้นจะเป็นยังไง เค้าพร้อมเหมือนเราไหม”
จุ๊บไม่ได้คิดว่าคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก แต่ตัดสินใจไม่มีเพราะเงื่อนไขในชีวิตที่ไม่แน่นอนเสียมากกว่า
“เท่าที่คุยกับคนรุ่นเดียวกัน หลายคนไม่ได้ไม่อยากมีลูก แต่ด้วยสภาพสังคม สภาพเศรษฐกิจหลายๆ อย่าง ถ้าไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้ตัวเองกับลูกได้ ก็ไม่มีดีกว่า แล้วจริงๆ เราก็อยากเห็นภาพที่รัฐสามารถ ดูแลคนได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะทุกวันนี้ที่เราดำรงชีวิตอยู่ เราไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเองว่าดำรงชีวิตยังไง เราต้องนึกด้วยว่า สมมติพ่อแม่เราแก่ตัวไปแล้วเค้าจะอยู่ยังไง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ ไม่มีเงินบำนาญ มันไม่ใช่เรื่องของความกตัญญูหรืออะไรนะ แต่มันคือเรื่องของการเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะถ้าเป็นครอบครัวแล้ว เราก็อยากให้เค้าอยู่ดีมีสุขตลอดชีวิตของเค้า ถ้าจะมีลูกมันก็จะกลายเป็นว่าเราต้องกังวลทั้งตัวเรา พ่อแม่ ลูกเรา ก็จะกลายเป็นสามเจนเลยที่เราต้องนึกถึงว่าเราพร้อมไหมทั้งทางการเงินและวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่จะมีลูก พ่อแม่เป็นพาร์ทที่เรามีอยู่แล้ว เลือกไม่ได้ แต่การมีลูกเราเลือกได้ ดังนั้นถ้ารัฐรับประกันได้ว่าเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี คนก็น่าจะอยากมีลูกมากขึ้น” จุ๊บเอ่ยทิ้งท้าย
คลิกฟังเรื่องราวของจุ๊บผ่านเสียงของเธอได้ด้านล่าง