ในฐานะเควียร์ที่เติบโตมาในครอบครัวพ่อแม่ลูกตามขนบสังคมไทย คัพเค้กเชื่อว่าครอบครัวไปไกลกว่าความผูกพันทางสายเลือด สำหรับคัพเค้ก ครอบครัวคือพื้นที่ปลอดภัย ที่ที่เราเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ในขณะเดียวกัน เราก็ทำให้คนอื่นรู้สึกปลอดภัย ได้รับเกียรติ ได้รับความเชื่อใจว่าเราจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เช่นกัน
“ครอบครัวตามขนบคือหน้าที่ เป็นเหมือนกรงขังความคิด ว่าเราเกิดมา เราผูกพันทางสายเลือด เราต้องปฏิบัติตามนี้ และอำนาจในครอบครัวก็ขึ้นอยู่กับสถานะของเราว่า เรามีสถานะนี้ ต้องปฏิบัติตามนี้ เราเห็นว่าความคิดแบบนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมันบิดเบี้ยว แล้วเรารู้สึกเหมือนติดอยู่ในคุกที่เราหนีออกไปไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่าความผูกพัน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นสิ่งที่เรามีจริงๆ หรือเราหนีออกไปไม่ได้ เรามองว่าความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ในครอบครัวเราเป็นแบบนี้” คัพเค้กกล่าว
เมื่อเติบโตมาในครอบครัวเช่นนี้ คัพเค้กจึงมีแนวคิดเรื่องครอบครัวที่แตกต่างไปจากประสบการณ์ที่เธอประสบมา “เราโตมาในครอบครัวที่ยึดมั่นเรื่องกตัญญูรู้คุณ พ่อแม่เป็นพระในบ้านในฐานะที่ว่าไม่สามารถล่วงละเมิดได้ ไม่สามารถทำอะไรผิดได้ มัน toxic [เป็นพิษ] ในอนาคตถ้ามีครอบครัวเอง อยากมีใครเข้ามาในชีวิต เราอยากให้มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีรากฐานอยู่บนความรัก ความเข้าใจ ความใจดี การตั้งปณิธานว่าเราจะไม่โหดร้ายต่อกัน เราจะไม่สร้างเงื่อนไขให้ความรักว่าคุณต้องทำแบบนี้ให้ฉัน ไม่งั้นฉันจะไม่ให้ความรักกับคุณ เราจะไม่ปฏิบัติกันแบบรุนแรง เป็นรักที่พยายามเป็นประชาธิปไตย ไม่มีลำดับชั้น ไม่ใช้อำนาจต่อกัน”
“เดี๋ยวก็เลิกชอบเองแหละ เมื่อก่อนแม่ก็ชอบผู้หญิง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เป็นประโยคที่แม่พูดกับคัพเค้ก เมื่อเขาบอกกับแม่ว่ามีแฟนเป็นผู้หญิง และหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก คัพเค้กเล่าว่าเหมือนกับแม่จะไปคิดได้เอง จึงไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ดีอีก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากสนับสนุนเช่นกัน และเธอก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ได้พูด “ที่ยังติดในใจอยู่คือยังไม่ได้บอกใครว่าเป็น non-binary แล้วเอียงไปทาง masculine เพราะแม่ต่อต้านการที่เราพรีเซ้นท์ตัวเองแบบ masculine มาก ตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ชอบให้ใส่สูท ชอบให้ใส่สีชมพู ใส่กระโปรง แต่เราไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะย้ายออกจากบ้านได้ เลยยังต้องเป็น closeted non-binary ต่อไป”
กลับกัน แรงสนับสนุนที่ได้รับในชีวิตมักมาจากครอบครัวที่ไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือด “เรานับเพื่อนเป็น support system ที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนเลย ไม่คิดว่ามันเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของความสัมพันธ์ของเควียร์ คิดว่าพาร์ทเนอร์ในชีวิตเป็นส่วนขยายของการมีเพื่อน คือพาร์ทเนอร์ต้องมาจากเพื่อนก่อน เพื่อนเหมือนเป็นรากฐานของเรา ในเรื่องของการปลอบประโลมและเติบโตทางอารมณ์ ความผูกพันที่ดีกับเราก็จะมาจากเพื่อน เรามีกลุ่มเพื่อนเลสเบี้ยนที่เป็นเพื่อนกลุ่มแรกๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าการค่อยๆ ทำความเข้าใจตัวตนของเราเป็นเรื่องโอเค ค่อยๆ ใช้เวลาก็ได้ ไม่เป็นไร” เขากล่าว
เมื่อถามถึงประสบการณ์ในฐานะคนเควียร์ที่ผ่านมาก่อน คัพเค้กฝากสติและกำลังใจเอาไว้ว่า “ตัวเราในสมัยเด็กกับในตอนนี้มันแทบไม่ต่างกันเลยในแง่ที่ว่า ความเจ็บปวดจากการรู้แล้วว่าเราไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตัวเองได้อย่างแนบสนิทมันก็ยังอยู่นะ อันดับแรกที่อยากจะบอกคนที่ดิ้นรนอยู่คือ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองดิ้นรนกับความรู้สึกแบบนี้ แล้วรู้สึกมานานแล้ว อยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกติ เพราะมันเป็นอะไรที่เราอาจใช้เวลาทั้งชีวิตก็ได้ในการดีลกับอะไรแบบนี้ คนชอบพูดว่ามันคือ emotional baggage [สัมภาระทางอารมณ์] แต่นี่ว่า emotional baggage ไม่ใช่คำที่เห็นภาพ เพราะมันเป็นอะไรที่เราถือแล้ววางได้ แต่อันนี้มันเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เราเอาออกมาไม่ได้ ทำได้แค่ให้มันหยุดขยายตัวในตัวเรา เห็นคนคุยกันว่าบางทีก็ท้อ ที่ความรู้สึกแบบนี้มันไม่หายไป แต่อยากบอกว่าหลายคนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ผู้ใหญ่หลายคนก็เป็น เราก็จะสามสิบแล้ว อยากบอกว่า you’re not alone in this struggle [เราไม่ได้เผชิญสิ่งนี้อยู่คนเดียว]
การใช้ชีวิตในฐานะตัวเองเต็มที่ ในแบบที่ยึดมั่นในการเป็นตัวเอง มันเท่ากับการเรียนรู้ที่จะทำให้คนอื่นผิดหวัง และเป็นการเรียนรู้ว่าความผิดหวังนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเข้าไปรับผิดชอบด้วย เพราะว่าสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบก็คือ การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองให้ดี อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน ไม่อยากพูดว่าต้องสู้ เพราะทุกคนก็สู้กันอยู่แล้ว แต่อยากให้ทุกคนใจเย็นกับตัวเอง ความใจเย็นเป็นของขวัญที่เราควรให้ตัวเอง มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน เพราะบางทีเราอาจต้องสู้ไปทั้งชีวิต”
เมื่อถามถึงครอบครัวในอนาคต คัพเค้กย้ำว่า อนาคตของคนที่เป็นเควียร์ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับการเจริญพันธุ์ หรือการมีลูกมีหลาน “ในฐานะเควียร์ อนาคตมันเป็นพหูพจน์ คือการพยายามไปไกลกว่า สภาพตรงนี้ที่คนบอกว่าเราควรทำอะไรบ้าง อนาคตมันไม่มีขีดจำกัด และแตกต่างกันไปสำหรับเควียร์แต่ละคน” แต่สำหรับตัวเขาเอง คัพเค้ก “อยากอยู่กับเพื่อนเราไปจนแก่ อยู่แบบเป็น community อารมณ์เหมือนอยู่ในบ้าน ในคอนโดชั้นเดียวกัน เช้ามาตื่นไปเช็คว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ยังหายใจอยู่นะ (หัวเราะ) รู้สึกว่าไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นเลย”
และสัตว์เลี้ยงก็อยู่ในสมการครอบครัวของเขา “คำจำกัดความครอบครัวของเราคือความสัมพันธ์ที่ไม่มีลำดับชั้น ฉะนั้นเรานับสัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแน่นอน ไม่คิดเลยว่าสัตว์เป็นแค่สัตว์ มองสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนมาตลอด ถ้าแก่ตัวไปแล้วสัตว์เลี้ยงตายหรือเราตาย อันนี้ก็ทำให้นึกถึงความสำคัญของการอยู่กันเป็นชุมชนนะ ถ้าเราใช้ชีวิตแยกจากคนอื่น มันก็ไม่มีใครเข้ามาช่วย ที่จะสื่อคือ เราควรอยู่เป็นชุมชนเพื่อมาช่วยกันดูแลอะไรแบบนี้ ผลักกันเทคแคร์เรื่องราวส่วนตัวของกันและกันได้”
คัพเค้กมองว่าเคลียร์ที่แก่ตัวไป ควรดูแลกัน อยู่กันเป็นชุมชน ไม่ใช่แค่เพราะเหงา แต่เพราะเราเข้าใจกัน “คนแก่มักจะมีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่เล่นกับความทรงจำ กับประสบการณ์ในอดีต มันก็จะมีเควียร์ที่แก่ตัวไปแล้ว ความทรงจำตอนที่โดนทำร้ายสมัยเป็นเด็กๆ เพราะเป็นเกย์ออกสาว เพราะบอกพ่อแม่ว่าเป็นคนข้ามเพศ ความทรงจำที่โดนทุบทำลายเพราะเพศวิถีในตอนเด็กๆ มันกลับมาได้ตอนเราเป็นคนแก่ มันยิ่งตอกย้ำว่าเราควรอยู่กับคนที่เข้าใจปัญหาของเรา แต่ปัจจุบันเหมือนเราไม่ค่อยมีข้อมูลเคีวยร์สูงอายุเลย ไม่รู้ว่าเค้าไปอยู่ตรงไหน แล้วเราจะช่วยเค้าได้ยังไง” เขากล่าว
หากรัฐจะเข้ามาช่วยดูแลชุมชน LGBTI มากขึ้น คัพเค้กก็มองว่า “การที่ความเป็นเควียร์ การเป็นคนข้ามเพศ กลายเป็นข้อมูลของรัฐ แล้วเควียร์ก็ต้องไปลงทะเบียนกับรัฐ หลายคนก็มองว่ารัฐจะมาสอดแนมหรือเปล่า ก็เหมือนเราไปเปิดเผยตัวตนกับรัฐ รัฐก็จะมีข้อมูลนี้อยู่ไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเควียร์ที่อยู่ภายใต้รัฐเผด็จการก็จะกังวล เพราะเหมือนโดนรัฐจับตา เอาข้อมูลตรงนี้ไปใช้ยังไงก็ได้” ดังนั้นรัฐควรเข้าใจความตึงเครียดตรงนี้ก่อนที่จะออกนโยบายใดๆ
เขากล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการออกนโยบายเพื่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ คือการมองออกไปนอกเหนือจากแว่นสายตาปกติ และมองนโยบายต่างๆ ผ่านเลนส์ของเควียร์ “อาจเริ่มจากการมองความเหลื่อมล้ำในลักษณะที่มองผ่านชีวิตของเควียร์ เช่นเวลาเรามองภาวะไร้บ้าน อยากให้มองด้วยว่าชีวิตของเควียร์ที่ไร้บ้านยังไง หรือการเป็นเควียร์มีความเปราะบางที่นำไปสู่ภาวะไร้บ้านยังไง หรือการเป็นเควียร์มีมิติอะไรบ้างที่นำไปสู่ความเปราะบางนี้”
“แต่เวลาพูดเรื่องเควียร์ เราพูดถึงบาดแผลซะเยอะ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรคุยกันด้วยคือ ความปิติจากการเป็นเควียร์เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตมากขนาดไหน และเป็นสิ่งที่เป็นรากฐานของการเป็นเควียร์ รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ควรพูดและเป็นรากฐานของครอบครัวที่เราเลือกเอง” คัพเค้กเอ่ยทิ้งท้าย
ฟังเรื่องราวของคัพเค้กผ่านเสียงของเขาได้ข้างล่าง