“กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้คำว่าฝ่าฟันมาเยอะ เราโชคดี เรารักกันจริงๆ มันเลยผ่านมาได้ ช่วงที่ลำบากที่สุด ยากที่สุด เราเลยสามารถจับมือแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เราต่อสู้ด้วยกันมา”
ประโยคข้างต้นที่ ‘อุ้ย กับ ทอม’ เอ่ยออกมา ดูจะบรรยายความสัมพันธ์สองทศวรรษของคู่เกย์คู่นี้ได้เป็นอย่างดี คู่รักคู่นี้อยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปีแล้ว และจัดงานแต่งงานฉลองความสัมพันธ์สองทศวรรษไปเมื่อปี ค.ศ. 2019 ด้วยความรักที่มั่นคง ทั้งสองช่วยกันปลุกปั้นธุรกิจส่วนตัวด้วยกันมาจนประสบความสำเร็จ
“รักแรกพบเหมือนในหนังเวลามีลำแสงพุ่งออกมาจากเค้าเลย” อุ้ย กับ ทอม อธิบายถึงเหตุการณ์ที่ทั้งคู่พบกันครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในปี ค.ศ. 1999 ช่วงเวลาที่ค่าโทรศัพท์ทางไกลแพงแสนแพง โซเชียลมีเดียยังไม่เกิด ไม่มีไลน์ ไม่มีวิดิโอคอล ได้แต่เขียนจดหมายรักส่งจากไทยไปสิงคโปร์ หลังจากเขียนจดหมายหากันสักพัก อุ้ยบินไปหาทอมที่สิงคโปร์ จากนั้นก็บินตามไปนิวยอร์กที่ทอมกำลังเรียนอยู่ และอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่วันนั้น
ทอมเล่าว่ารู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เด็กๆ แล้วและไม่เคยรู้สึกว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องผิดอะไร แต่สังคม ณ เวลานั้นยังไม่เปิดรับ ถึงอย่างนั้นก็นับว่าโชคดีที่ทั้งเขาและอุ้ยไม่เคยเจอเรื่องอะไรยากๆ จากครอบครัว
“คบกันมาสิบปี พ่อก็เริ่มรู้ พี่สาวรู้คนแรก พี่สาวบอกว่าห้ามบอกพ่อ เพราะกลัวพ่อจะรับไม่ได้ แต่ตอนนั้นไปญี่ปุ่นกับครอบครัว พ่อเข้ามาหา นั่งแล้วบอกว่าต้องดูแลกันดีๆนะ เข้าใจว่าทำไมสองคน [ทอมกับอุ้ย] อยู่ด้วยกัน this is the moment my parents accepted up [นี่คือโมเม้นท์ที่พ่อแม่ยอมรับเรา]” ทอมเล่า “ตั้งแต่แรกเราก็แนะนำครอบครัวเลยว่าคนนี้เป็นแฟน สำหรับฝั่งพี่มัน easy มาก” อุ้ยเสริม
การใช้ชีวิตคู่ของอุ้ยและทอมไม่ค่อยเจอปัญหาอะไร แต่อุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตมักเป็นเรื่องงาน ทั้งคู่ทำงานจัดปาร์ตี้เกย์ในประเทศไทย จะเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกเลยก็ยังได้ แต่กว่าจะมีวันนี้ก็ไม่มีอะไรง่าย
“ถ้ารู้สตอรี่พี่นะ สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา การจัดเกย์ปาร์ตี้ในเมืองไทยมันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องยาก ทำมาได้จนถึงทุกวันนี้เรียกได้ว่า miracle” อุ้ยเกริ่น พวกเขาเล่าต่อว่า สมัยก่อนเวลาต้องไปหาสปอนเซอร์ ไปแล้วก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วงแรกๆ ที่เริ่มต้นธุรกิจ สปอนเซอร์มักปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “too gay, too obvious” [เกย์เกิน ชัดเกิน] สุดท้ายทั้งคู่จึงตัดสินใจลุยต่อด้วยเงินลงทุนของตัวเอง
“เรื่องหาที่จัดงาน ช่วงแรกๆ เจอคุยไปนานแล้ว อนุมัติแล้ว พอก่อนวันงาน เจ้าของที่บอกว่าไม่ให้จัดงานเกย์ เรารู้สึกสะอึก เราแพลนทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วสามสี่เดือน มาแคนเซิลเราหนึ่งอาทิตย์ก่อนจัดเพราะเป็นเกย์ปาร์ตี้ แต่โชคดีที่เรารู้จักคนเยอะ ก็มีผู้ใหญ่คนอื่นสนับสนุน เราเปลี่ยนไปอีกที่ได้ทัน ทุกวันนี้ก็ยังเจอแบบนี้อยู่ คิดว่ายังมีอยู่เยอะด้วย เจ้าของที่ conservative จะเป็นแบบนี้
จริงๆ ทุกคนอยากได้เงินของ LGBTI เราเรียกกันว่า pink money ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากในตลาดปัจจุบันทุกคนอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเค้กเรา แต่เค้ามาเพื่อเงิน ไม่ได้เข้ามาด้วยจิตใจ ด้วยการซัพพอร์ตที่แท้จริง ช่วงไพรด์มันก็มีหลายบริษัทจะเข้ามาสปอนเซอร์ but only for one month, after Pride Month ทุกคนหายไปหมด ถ้าอยาก support us ก็ all year not only June นะครับ [แต่หลังจากเดือน Pride Month ก็หายไปหมด ถ้าอยากสนับสนุนเราก็สนับสนุนทั้งปี ไม่ใช่แค่เดือนมิถุนา]” ทอมและอุ้ยกล่าว
เมื่อถามถึงเรื่องการเพิ่มสมาชิกครอบครัว ก็เหมือนว่าสมรสและสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่ยังไม่ถึง และมาช้าเกินไป ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจไม่มีลูก “เราก็พร้อมมีลูกนะ แต่อาจจะเพราะอยู่ด้วยกันสองคนมาตลอดเวลา แล้วเราแก่เกินไปแล้วรึเปล่า กว่าลูกจะโตเราคนนึงก็ 65 อีกคนก็ 75 แล้ว คิดหลายอย่าง ไม่รู้ว่าถ้าเด็กเรียนอยู่แล้วแนะนำตัวว่ามีพ่อสองคนจะเป็นยังไง ไม่อยากให้เด็กลำบาก จริงๆ อยากมีลูก แต่สังคมยังไม่พร้อม กฎหมายไม่พร้อม” ทั้งคู่เล่า
“คิดว่าหนึ่งในเหตุผลที่สมรสเท่าเทียมสำคัญมากก็คือว่า ไม่อยากพูดสิ่งที่คนเห็นต่างกันนะ แต่สำหรับเราแล้วการแต่งงานไม่ได้สำคัญในตัวมันเอง สิทธิทางกฎหมายต่างหากที่สำคัญ เราต้องการได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย และก็ไม่อยากพบเจอความยากลำบากที่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือพาร์ทเนอร์ของเรา แล้วเราทำอะไรไม่ได้เลย แบบนั้นสถานการณ์ที่เจอคงแย่ลงไปอีก สำหรับผู้คนมากมายการต่อสู้มันคือเพื่อสิ่งนี้” ทอมย้ำ
อุ้ยเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษา พ.ร.บ. คู่ชีวิต แต่เขาก็ย้ำว่า ไม่ว่าจะ พ.ร.บ. คู่ชีวิต หรือสมรสเท่าเทียม ผ่านกฎหมายอะไรได้ก่อน ก็ถือเป็นก้าวแรกที่ดีทั้งสิ้น และก็มีหวังว่าในอนาคตอันใกล้อาจมีข่าวดีในเรื่องนี้
ทั้งคู่มองไปในอนาคต เชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ที่ออกมาต่อสู้ และพร้อมที่จะสู้ไปด้วย “เด็กรุ่นใหม่เปิดกว้างทางความคิดมาก สิ่งนี้ทำให้เรามีหวัง อนาคตสำหรับพวกเราสดใส และเราไม่ได้ขออะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น เราแค่ขอความเท่าเทียม เป็นสิ่งธรรมดาที่เราต้องได้เหมือนคู่รักชายหญิง แต่คนรุ่นใหม่เค้าสู้กันจริงๆ สู้มากกว่ารุ่นเรา กล้าออกมาแสดงตัวตน รุ่นพวกผมอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็โชคดีแล้ว เวลาเห็นเด็กรุ่นใหม่ออกมาสู้เราก็จะรู้สึกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว เราต้องสนับสนุน เราต้องเดินไปข้างหน้าด้วยกันกับคนรุ่นใหม่”
ทอมและอุ้ยเล่าว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เห็นความเปลี่ยนมากขึ้น “ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ลูกเพื่อนเราที่โตกันหมดแล้ว ก็บอกว่าอย่ามาบังคับหนูนะ หนูไม่มีเพศ ยังไม่รู้ว่าชอบเพศไหนนะ พ่อแม่ก็ยอมรับ นี่เป็นเรื่องปกติของครอบครัวปัจจุบัน ครอบครัว conservative ครอบครัวคนจีนเค้าก็เปิดรับมากขึ้น เพราะเค้าอยู่กับลูกๆ หลานๆ แบบนี้มานานแล้วเค้าก็ชิน”
แต่ความเท่าเทียมที่ยังมาไม่ถึง ก็ทิ้งความกังวลไว้ให้คู่รักคู่นี้ “ตอนนี้เราสองคนก็เริ่มแก่แล้ว ห่วงสิ่งที่เกี่ยวกับสุขภาพ เรื่องว่าใครจะไปก่อน มันก็เกี่ยวกับกฎหมาย ว่ามีอะไรเกิดขึ้นขอให้เราไม่ต้องกังวล ตอนนี้ก็หวังว่ารัฐบาลใหม่จะรีบผ่านกฎหมายทั้งสองฉบับหรือฉบับใดฉบับหนึ่ง ให้เรารู้สึกชื่นใจว่าเราได้มีก้าวแรกของเราแล้ว ว่าเราได้รับการยอมรับและได้สิทธิทุกอย่างตามที่เราควรจะได้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้บ้าน รับบุตรบุญธรรม การดูแลรักษาระหว่างกันในโรงพยาบาล”
“กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้คำว่าฝ่าฟันมาเยอะ ทุกคนเห็นแต่ภาพที่สวยงาม แต่ behind the scene มันเยอะ ซึ่งสองคนไม่เคยยอมแพ้ ต่อสู้มาตลอดจนถึงวันนี้ สิ่งที่คนเห็นมันจะเป็นภาพสวยๆของพวกเรา แต่อันที่ยาก ที่เราล้มลุกคลุกคลานกันมาก็มี ส่วนใหญ่เกี่ยวกับงาน เราโชคดี เรารักกันจริงๆ มันเลยผ่านมาได้ ช่วงที่ลำบากที่สุดที่ยากที่สุด เราก็สามารถจับมือแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แล้วต่อสู้ด้วยกันมา” ทั้งคู่กล่าวทิ้งท้าย
ก็ได้แต่หวังว่าจะถึงวันที่สิทธิได้รับการปกป้อง และความเท่าเทียมทางเพศเป็นจริงเสียที
คลิกฟังเรื่องราวของอุ้ยกับทอมผ่านเสียงของพวกเขาเองได้ด้านล่าง