เจี๊ยบ มัจฉา พรอินทร์ กับ จุ๋ม วีรวรรณ วรรณะ เป็นคู่รักเลสเบี้ยนที่สร้างครอบครัว “แม่ แม่ ลูก” ขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ในสังคมที่ไม่เปิดรับความหลากหลายทางเพศ ถึงแม้จะเผชิญอุปสรรคมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะความเกลียดชังทางเพศจากคนรอบตัว โรงเรียนที่ไม่สอนให้เด็กเข้าใจความหลากหลายทางเพศ หรือกฎหมายที่ไม่ปกป้องคุ้มครองชีวิตครอบครัวคนหลากหลายทางเพศ พวกเธอก็สู้ไม่ลดละ โดยทุกวันนี้ทั้งเจี๊ยบ และจุ๋ม รวมถึง น้องหงส์ ศิริวรรณ พรอินทร์หรือหลานที่เจี๊ยบรับมาเลี้ยงเป็นลูก ได้ขับเคลื่อนเรื่องครอบครัวหลากหลายในระดับชาติผ่านองค์กรที่ชื่อว่า Sangsan Anakot Yawachon (สร้างสรรค์อนาคตเยาวชน) และระดับโลกผ่านองค์กร International Family Equality Day – IFED ที่เจี๊ยบดำรงตำแหน่งเป็น Co President ในการทำงานเรื่องสิทธิในการสร้างครอบครัวของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
ครอบครัวนี้ก็นิยามคำว่าครอบครัวขึ้นมาจากความรักและความกล้าหาญ “เราสร้างครอบครัวด้วยความรัก ด้วยความกล้าหาญจริงๆ เราไม่เคยกลัวเลยว่าใครจะมาอะไรกับเรา แล้วเราสู้ ลูกก็จะเห็นที่เราสู้” เจี๊ยบเล่า
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เจี๊ยบโตมาในครอบครัวชาวอีสานที่ฐานะยากจน มีแม่เลี้ยงเดี่ยว และเกือบจะไม่ได้เรียนหนังสือ “เราเป็นคนอีสานด้วยก็จะเจอปัญหาเศรษฐกิจสังคม ฐานะยากจน ทำนา มีความรุนแรงในครอบครัว แม่ต่อสู้จนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เจอความรุนแรงทางเพศของการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกเจ็ดคน เข้าไม่ถึงสวัสดิการภาครัฐ เพราะสมัยก่อนเงินอุดหนุนไม่มี ทุนการศึกษาไม่มี งบสนับสนุนการเรียนของเด็กไม่มีเลยเมื่อสามสิบปีที่แล้ว … มันมาตกอยู่ที่การเป็นเด็กผู้หญิง ที่ครอบครัวและชุมชนให้ความสำคัญกับการศึกษาของผู้หญิงน้อยกว่า จำได้เลยตอนบอกแม่ว่าจะไปเรียนต่อมอหนึ่ง พี่เป็นคนเรียนเก่งมาก แต่มอหนึ่งห่างจากบ้านไปสิบแปดกิโล สมัยก่อนไม่มีรถรับส่ง ต้องปั่นจักรยาน แล้วพอครอบครัวไม่มีทรัพยากรซื้อจักรยานให้ปั่นไปโรงเรียน แม่ก็ถามว่างั้นไม่เรียนต่อไหม เพราะไม่มีเงินซื้อจักรยานให้ปั่นไปโรงเรียน ช่วงแรกพี่เลยเดินไปเรียน แล้วต้องทำงานเป็นแรงงานเด็ก ทำตั้งแต่เก้าขวบเพื่อให้มีเงินไปโรงเรียน ตอนเด็กๆ รับจ้างเกี่ยวข้าว โตขึ้นมาหน่อยรับจ้างแบกอิฐ”
ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นเด็กที่ไม่ได้โตมาในระบบสองเพศ “พอพ่อไม่อยู่มันไม่เหลือบทบาทหญิงชาย เราทำอะไรก็ได้เพื่อเอาชีวิตรอด ทำหน้าที่โดยไม่แบ่งแยกเพศ แต่พอเราเป็นคนหลากหลายทางเพศ อัตลักษณ์เราชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ในกล่อง แม่ก็จะพูดตั้งแต่เด็กว่า แม่ไม่ได้มีลูกสาว เราก็ไม่ได้สนใจเพราะเราเป็นตัวของตัวเอง แล้วอยู่กับแม่เหมือนเป็นเพื่อน แม่ไม่ได้ใช้อำนาจอะไรกับเรา เพราะแม่เองก็อยู่นอกกรอบ”
เมื่อเติบโตขึ้น เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เจี๊ยบไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาจากครอบครัว เธอจึงต้องรับผิดชอบดูแลตัวเอง “พอแม่ไม่ได้สนับสนุนการศึกษา เราก็รับผิดชอบตัวเอง ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับครอบครัวเพราะไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวสนับสนุนการศึกษาเรา ก็ต้องเอาตัวรอด และสร้างครอบครัวใหม่ รวมกลุ่มกันกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มีอัตลักษณ์คล้ายๆ กัน เรามักถูกบุลลี่ ไม่ยอมรับ ทั้งเพราะเป็นคนลาวอีสาน ทั้งเป็นเควียร์ สมัยเรียนเราไม่ใส่กระโปรงเลย ใส่กางเกงอย่างเดียวแล้วก็งงมากว่าทำไมทุกคนจะต้องมายุ่งกับร่างกายทรงผมของเรา เรานิยามตัวเองเป็นผู้หญิงนะ แต่ไม่ได้รู้สึกว่า comfortable กับการใส่กระโปรง” เจี๊ยบเล่า
เธอเล่าต่อว่าความเกลียดชังคนหลากหลายทางเพศปรากฏชัดและฝังรากลึกเมื่อเธอมีคู่รักเป็นคนเพศเดียวกัน และดูแลลูกที่อุปการะมาร่วมกัน “ตอนที่เรามีคู่เป็นคนรักเพศเดียวกัน แล้วต้องดูแลลูก เรารู้เลยว่าระดับของ homophobia [ของครอบครัวเรา] มันลึกมาก เช่น เค้าจะไม่มั่นใจในชีวิตคู่ของเรา คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้าไม่เคยเห็นภาพคู่รักเพศเดียวกันอยู่ด้วยกันแล้วสร้างครอบครัว แล้วมันก็มีวาทกรรมว่าคู่รักเพศเดียวกันจะส่งผลไม่ดีกับลูก ซึ่งลูกเราก็โดนบุลลี่จริงๆ เพราะมีแม่สองคน แต่มันไม่ได้เป็นความผิดที่เราดูแลลูกไม่ได้ เราไม่ได้ขาดตกบกพร่อง แต่ลูกเราถูกบุลลี่เพราะโรงเรียนไม่สอนว่าครอบครัวมีความหลากหลาย มันคือความผิดของสังคมที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ”
เมื่อถามว่าเธอต่อสู้กับแรงเสียดทานรอบด้านในการก่อตั้งครอบครัวอย่างไร เธอกล่าวว่า “เราเป็นคน out and proud มากเลย แล้วอัตลักษณ์ของเราชัดเจน การแสดงออกความรักของเราชัดเจน เดินไปไหนกับพี่จุ๋มก็จับมือกัน กอดกันตลอด เราสร้างครอบครัวด้วยความรักด้วยความกล้าหาญจริงๆ เราไม่เคยกลัวเลยว่าใครจะมาอะไรกับเรา แล้วเราสู้ ลูกก็จะเห็นที่เราสู้”
ครอบครัวของเธอเลี้ยงลูกด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากความรักและความเข้าใจ “เราพยายามทำพื้นที่ปลอดภัย ถ้าเค้ามีอะไรเค้าบอกเราได้ทุกอย่าง เราเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เปิดพื้นที่ปลอดภัย ลูกก็จะสนิทสนมกับเรา บางทีเค้ามีอะไร ไม่ต้องพูดอะไรเราก็รู้เลย มันก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่เข้าอกเข้าใจและพร้อมจะรับฟัง ถ้าเค้าถูกเพื่อนรังแกเค้าก็จะมาเล่าให้ฟัง แล้วเราก็ช่วยกันแก้ปัญหา” เจี๊ยบเล่า เธอยังเสริมอีกว่าเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว น้องหงส์ ศิริวรรณ หลานที่เธอรับมาเลี้ยง หรือว่า ลูก ณ ตอนนี้ ตัดสินใจเรียกเธอกับจุ๋มว่าแม่ “เหมือนเค้าเลือกเราเป็นแม่แล้ว แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถ้ามีเพื่อนเค้าถามแล้วเค้าบอกว่าอยู่กับป้า ก็จบ แต่ถ้าเค้าบอกเพื่อนว่านี่คือแม่สองคน มันจะมีคำถามมากกว่าเดิมอีก เพราะฉะนั้นเมื่อลูกตัดสินใจสู้แล้ว เราก็มีหน้าที่ของเราในการปกป้องเค้าให้ดีที่สุด”
แต่ชีวิตการเป็นคนรักเพศเดียวกันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายในสังคมที่ไม่เท่าเทียม ครอบครัวของเธอเคยเผชิญความรุนแรงถึงขั้นที่มีคนมาเผาบ้านไล่ “เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้ว คนในชุมชนมาเผาขับไล่เราออกจากชุมชน ในสิบวัน เผาหกครั้ง ไปแจ้งความ ตำรวจก็ไม่รับแจ้ง บอกว่าอาจจะเป็นอุบัติเหตุไหม แต่มันคือความตั้งใจทำให้เราหวาดกลัว อยู่ที่นั่นไม่ได้ เมื่อเหตุการณ์สงบลง ตำรวจเข้ามาลงบันทึกประจำวัน แต่ไม่รับแจ้ง คนในชุมชนก็รู้หมดว่าใครทำ แต่ถามว่าเราจะกล้าไปนอนในบ้านตัว อยู่ในชุมชนนั้นมั๊ย พี่รู้สึก trauma เพราะกว่าหญิงรักหญิงสองคนจะมีเงินซื้อที่ดิน เอามือเอาตีนสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา แล้วเราภูมิใจในบ้านเรามาก แล้วต้องสูญเสียมันไปเพราะความเกลียดชังความไม่ยอมรับ เราสูญเสียบ้าน สูญเสียความมั่นคงในชีวิตไป ต้องออกมาเร่ร่อนเช่าบ้าน เสียเงินเสียทองตลอดหกเจ็ดปีที่ผ่านมา”
แต่เจี๊ยบก็ยังคงยืนยันว่าจำเป็นต้องลุกขึ้นมาพูด “trauma ทุกครั้งที่พูด แต่ต้องพูด ไม่งั้นคนก็จะยังเข้าใจผิดว่าประเทศไทยเป็นสวรรค์ LGBTQ จริงๆ มันไม่ใช่สวรรค์ คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงงาน ไปโรงเรียนโดนเพื่อนบุลลี่ ความเป็นมนุษย์ของเราไม่ได้ถูก include ให้เท่ากับคนอื่น กฎหมายไม่เข้าใจ สาธารณสุขไม่รับรอง เราต้องเอาความเจ็บปวดของชุมชนเรามาบอกว่าเราต้องการการคุ้มครอง”
ความเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นครอบครัวหญิงรักหญิงที่รัฐไม่รับรอง จึงไม่สามารถรับอุปการะลูกที่ตัวเองเลี้ยงมาตามครรลองกฎหมาย ไม่สามารถเซ็นรับรองเอกสารใดๆ ของโรงเรียน “นี่คือสิ่งที่ลูกเราเผชิญในระบบการศึกษาตั้งแต่มอต้นถึงมอปลาย แม้แต่ตอนจะเข้ามหาลัยแล้วต้องกรอกประวัติพ่อแม่ ก็กลายเป็นว่าผู้ปกครองไม่สามารถปกครองเค้าได้ทั้งในทางเอกสารและในทางปฏิบัติ เช่น ถ้าเกิดอุบัติเหตุ โรงเรียนก็ไม่สามารถ reach out หาเราได้ นี่คือ burdern ที่ลูกเราแบกรับเพราะรัฐไม่รับรองสมรสเท่าเทียม”
เจี๊ยบเอ่ยทิ้งท้ายว่า “มีหรือไม่มีกฎหมาย เรายังเป็น LGBTQ เรายังเป็นครอบครัว แต่มันจะต่างทันทีที่มีกฎหมาย คือเราไม่ต้อง suffer ไม่ต้องมาพูดซ้ำๆ ว่าลูกเราเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ โดนเผาบ้าน โดนรังเกียจ สังคมต้อง create culture ใหม่ คือ culture ของการโอบรับความหลากหลาย เราถึงจะเคลื่อนไปได้ สังคมแช่แข็งความคิดความเชื่อมานาน จนเด็กรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับยุคสมัยเค้าแล้ว”
คลิกฟังเรื่องราวของครอบครัวนี้ได้ด้านล่าง