3 ปีที่ผ่านมา หลังโลกต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เราอาจจำภาพที่รัฐบาลหลายประเทศออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อดำเนินมาตรการควบคุมการโรคระบาดต่างๆ รวมไปถึงการที่ผู้คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น อย่างการใช้แอปพลิเคชันในการสั่งอาหารมาทานที่บ้านช่วงล็อกดาวน์ หรือการสั่งของออนไลน์แทนการไปห้างสรรพสินค้า
แม้ภาครัฐจะประกาศใช้มาตรการเหล่านี้เพื่อ “ป้องกันโรคระบาด” แต่ในบางประเทศการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาจควบคุมและจำกัดสิทธิการแสดงออกของประชาชน การออกมาตรการของรัฐที่ทวนกระแสสังคมหลายครั้งจึงสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน และแม้เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกล ถึงขั้นที่อำนวยความสะดวกกับเราในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการจองวัคซีน แชทคุยกับเพื่อน หรือสั่งอาหาร แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้อาจทิ้งคนบางกลุ่มไว้ข้างหลัง เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่มีโทรศัพท์หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
สัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างเล็กๆ ของความขัดแย้งที่เกิดจากความเชื่อและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน รวมไปถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ในฐานะนักนโยบายเราสามารถพลิกความขัดแย้งให้เป็นโอกาสได้อย่างไร?
ทีมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตของ UNDP (The UNDP Strategy & Futures Team) จึงจัดประเภท สัญญาณเหล่านี้ภายใต้หัวข้อ “ความขัดแย้งที่เปลี่ยนให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาได้” (useful tension) เพื่อพลิกความขัดแย้งให้เป็นโอกาสในการดำเนินนโยบายแห่งอนาคต โดยแบ่งเป็น 5 ประเด็นหลัก ดังนี้
1) เมื่อรัฐประชาธิปไตยก้าวสู่รัฐอำนาจนิยม
หลังสถานการณ์โควิด-19 รัฐบาลหลายประเทศใช้กฎหมายต่างๆ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อควบคุมหรือจำกัดการชุมนุมโดยสันติของประชาชน โดยอ้างว่าเป็นการควบคุมการแพร่ระบาด รายงานระบุว่ามีอย่างน้อย 31 ประเทศทั่วโลก ที่ประกาศใช้คำสั่งกระทรวงกลาโหมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น ประเทศโรมาเนีย นอกจากนี้ ยังพบว่าในประเทศที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง เช่น ฟิลิปปินส์ และเฮติ รัฐบาลมักส่งกองกำลังทหารไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทำให้ประชาชนรู้สึกติดหนี้บุญคุณรัฐบาลทหาร และยอมทนกับการละเมิดสิทธิด้านมนุษยชนในประเด็นอื่นๆ นั่นเอง
ตัวอย่างสัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของรัฐประชาธิปไตยที่กลายเป็นรัฐอำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบังคับใช้กฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยอ้างว่าเป็นการควบคุมโรคระบาดหรือเยียวยาประชาชนจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ รัฐอำนาจนิยมไม่ได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตยถดถอยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศด้วย เช่น หลายรัฐยังจำกัดการชุมนุมเรียกร้องสิทธิในร่างกายของตนเองหรือสิทธิทำแท้งอีกด้วย
จะเห็นว่าการออกกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมไปถึงคำสั่งกระทรวงกลาโหม เพื่อควบคุมโรคระบาดหรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติสามารถทำให้เกิดการใช้อำนาจรัฐเกินสัดส่วน และอาจก่อให้เกิดการทำลายรัฐประชาธิปไตยและความเท่าเทียมทางเพศได้ ดังนั้น นักนโยบายและภาครัฐจึงควรหาวิธีการดำเนินงานของภาครัฐในยามวิกฤติที่มีประสิทธิภาพ แต่รักษาไว้ซึ่งความเป็นประชาธิปไตยให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งขั้วอย่างสุดโต่ง (polarisation) ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย รวมไปถึงป้องกันไม่ให้รัฐกลายเป็นรัฐอำนาจนิยม
2) บทบาทของศาล
ศาลโลกและศาลในแต่ละประเทศเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในกรณีการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) เช่น หลังชาววานูอาตูได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนติดกันถึง 4 ครั้ง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ จึงได้ยื่นเรื่องให้สมัชชาสหประชาชาติส่งเรื่องให้ศาลโลกวินิจฉัยให้ทุกประเทศจำเป็นต้องกำหนดให้การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลด้วย ส่วนในระดับประเทศ เยาวชนในประเทศเยอรมนีได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการเพิ่มเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกจาก 55 เปอร์เซ็นต์เป็น 65 เปอร์เซ็นต์ภายใน ค.ศ. 2030 เพื่อลดภาระที่คนรุ่นถัดไปต้องแบกรับในการลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ สถานะของธรรมชาติยังได้เปลี่ยนไป เช่น ศาลในประเทศอินเดียยังได้รับรองให้ธรรมชาติ (mother nature) มีสิทธิทางกฎหมายอีกด้วย
สัญญาณข้างต้นอาจสื่อให้เห็นถึงแนวโน้มที่ศาลเข้ามามีบทบาทกับการจัดการภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และจะเห็นได้ว่าสังคมคำนึงถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของคนรุ่นถัดไปมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ขึ้นอยู่กับว่าศาลนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือความชอบธรรมในสังคมนั้นๆ หรือไม่ และหลายครั้งศาลก็ไม่ได้อยู่ข้างประชาชนเสมอไป ตัวอย่างเช่น กรณีของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่จำกัดบทบาทขององค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ในการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากโรงงานงานไฟฟ้า
ในอนาคตบทบาทของศาลจะเป็นอย่างไร? แม้ว่ากฎหมายจะรับรองสิทธิทางกฎหมายให้กับธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมวางแผนวิธีปกป้องสิ่งแวดล้อมในเชิงปฏิบัติด้วย นอกจากนี้ การร้องศาลโลกอาจเปิดพื้นที่สาธารณะสำหรับการพูดคุยและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในกรณีที่ปัญหาเกิดขึ้นในหลายประเทศพร้อมกัน รวมไปถึงวิธีการขยายบทบาทของศาลให้ สามารถบังคับใช้อำนาจเพื่อการพัฒนาในประเด็นอื่นๆ ด้วย
3) ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทวนกระแสสังคม
ยังจำสมัยที่คนไม่พอใจช่วงที่รัฐรณรงค์นโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามร้านสะดวกซื้อกันได้ไหม? การออกนโยบายที่ทวนกระแสของสังคมเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยแห่งเดียว เพราะในประเทศอื่นๆ เช่น บาร์เบโดส รัฐออกกฎหมายแบนการใช้พลาสติกใช้แล้วทิ้งอีกครั้ง ขณะที่ไนจีเรีย รัฐออกกฎหมายลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้ชาวไนจีเรียออกมาประท้วงต่อต้านในเวลาต่อมา นอกจากนี้ สภาวะแล้งและการขาดแคลนอาหารยังทำให้สหภาพยุโรปทบทวนการห้ามเพาะปลูกพืช GMO และพิจารณาอนุญาตให้ตัดแต่งพันธุกรรมพืชได้บางชนิด
สัญญาณเหล่านี้นอกจากแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของรัฐบาลหรือสหภาพที่ออกนโยบายที่อาจค้านกระแสสังคม ยังแสดงให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญของการออกนโยบาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การประท้วงมาตรการของรัฐ
เมื่อเห็นสัญญาณและกระแสของความเปลี่ยนแปลงแล้ว นักนโยบายจำเป็นต้องตระหนักถึงช่วงเปลี่ยนผ่านของอุดมการณ์หรือคุณค่าที่สังคมยึดถือ จากนั้นเสนอนโยบายใหม่ที่สอดคล้องกับสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง เพราะแนวทางนี้อาจทำให้การดำเนินนโยบายได้รับการตอบรับที่ดี และยังช่วยขับเคลื่อนสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม นักนโยบายต้องคำนึงเสมอว่า คุณค่าที่สังคมยึดถือเป็นของคนกลุ่มใดในสังคม และคำนึงถึงความต้องการของสังคมโดยรวมด้วย ที่สำคัญอย่าลืมคำถึงกรณีที่นโยบายไม่เป็นที่ถูกใจของสังคม ซึ่งอาจทำให้เกิดการต่อต้าน และอาจทำให้รัฐหันมาปราบประชาชนด้วยกฎหมายและมาตรการเด็ดขาด
4) อิทธิพลของเทคโนโลยีต่อมิติต่างๆ ในชีวิต
ปัจจุบันใครๆ ก็ต้องใช้แอปพลิเคชัน Line ไม่ว่าจะเพื่อคุยเล่น คุยงาน สั่งของ และเรียกแท็กซี่ เห็นได้ว่าเทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว จนถึงขั้นที่ผู้ใช้ WeChat ที่โดนแบนเพราะพูดถึงเหตุการณ์เทียนอันเหมิน 1989 ต้องยอมเขียนจดหมายคัดลายมือขอให้บริษัท Tencent ปลดแบน เพราะต้องพึ่งแอปพลิเคชันนี้ในการใช้ชีวิต นอกจากนี้ ผู้คนในยุคปัจจุบันยังให้ความสนใจกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานถึง 1 ล้านคนเพียงในระยะเวลา 5 วันหลังจากแอปฯ เปิดตัว
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เพราะระบบดิจิทัลอาจทิ้งประชาชนกลุ่มเปราะบางไว้ข้างหลัง เช่น ในอูกานดา ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ เพราะไม่มีบัตรประชาชนดิจิทัล ขณะเดียวกัน ประชาชนยังกังวลถึงการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนตัวที่ส่งผลต่ออัลกอริทึม เช่น ในอินเดีย คนขับ Uber ต้องพยายามหาวิธีการไม่ให้แอปพลิเคชันจ่ายงานตามอัลกอริทึม
สัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาของเทคโนโลยีและ AI ที่รุดหน้ามากกว่าที่มนุษย์เคยคาดคิด และมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างมากอีกด้วย ทว่ายังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลส่วนตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการทำงานของอัลกอริทึมที่ทำให้การแสดงผลของข้อมูลที่เป็นไปตามข้อมูลและการตั้งค่าของผู้ใช้แต่ละคน แทนที่จะแสดงข้อมูลทั้งหมด
สิ่งที่นักนโยบายต้องนำไปคิดต่อคือ เราควรมีนโยบายหรือมาตรการเพื่อลดช่องว่างของการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่ และมีวิธีใดบ้างที่ประชาชนจะสามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัวได้ อาทิ ให้ผู้ใช้งานเลือกที่จะยินยอมเปิดเผยข้อมูลบางส่วนได้
5) การพึ่งพาเทคโนโลยีจะทำให้เราเคยตัวจริงหรือไม่
นอกจากเทคโนโลยีจะอยู่ในทุกจังหวะของชีวิตแล้ว เทคโนโลยีใหม่ๆ ยังเผยโฉมแก่สังคมอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้เทียมที่สามารถดูดแก๊ซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้จริงหลายเท่า หรือแผง micro grid ที่สามารถสร้างพลังงานทดแทนให้หมู่เกาะเล็กๆ ในอินโดนีเซียมีไฟฟ้าใช้กันถ้วนหน้า เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอากาศ หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ปลาเทียมที่สามารถจำกัดขยะไมโครพลาสติกในทะเลได้
สัญญาณข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งรวมไปถึงการสร้างแหล่งพลังงานทางเลือกที่มากขึ้น แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้กลับพร้อมกับการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละพื้นที่และกลุ่มประชากร
สิ่งสำคัญที่นักนโยบายควรนำไปพิจารณาต่อคือ เทคโนโลยีอาจช่วยเสนอวิธีการแก้ไขสถานการณ์บางอย่างได้ แต่มันไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้
เพราะฉะนั้นผู้คนอาจหลงคิดว่าเทคโนโลยีสามารถแก้ไขได้ทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่ความจริงเสมอไป นอกจากนี้ เรายังต้องคำนึงว่า การใช้เทคโนโลยีได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือแทนที่ภูมิปัญญาชาวบ้านหรือไม่ ดังนั้น คำถามสำคัญคือ แทนที่เราจะเคยชินกับการพึ่งพาเทคโนโลยี เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีไปพรัอมๆ กับการแก้ไขที่ต้นเหตุได้อย่างไรบ้าง?
ที่มา : UNDP Signal Spotlight 2023