ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มหันมาลงทุนอย่างยั่งยืนในกองทุนหรือบริษัทที่ปฏิบัติตามหลัก ESG (Environmental, Social and Governance) มากขึ้น จำนวนผู้ร่วมบริจาคให้กับการกุศลยังเพิ่มขึ้น บางรายริจาคด้วยวิธีการใหม่ๆ เช่น ผ่านคริปโตสกุลเงิน NFT อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมิติต่างๆ ในสังคม เช่น ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น และมีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
สัญญาณเล็กๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นสภาพแวดล้อมหรือคุณค่าในสังคมที่กำลังเปลี่ยนไป แม้การเปลี่ยนแปลงอาจฟังดูน่ากังวล แต่ในฐานะนักนโยบายเรามองหาโอกาสในกระแสธารความเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพื่อออกนโยบายที่สนับสนุนหรือสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ทีมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตของ UNDP (UNDP Strategy & Futures Team) ได้จัดประเภทสัญญาณเหล่านี้ภายใต้หัวข้อ “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” (value investing) โดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นย่อย ดังนี้
1. ทบทวนการปฏิบัติตามแนวคิด ESG
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานโยบายของหลายประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสนใจประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเช่นสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาออกพ.ร.บ. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (The Inflation Reduction Act: IRA) ส่งผลให้นักลงทุนสนใจลงทุนในกองทุนหุ้นที่ยั่งยืนมากขึ้นกล่าวคือแนวคิด ESG กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ภาคธุรกิจใช้ดึงดูดนักลงทุนโดยสถาบันการลงทุนในสหรัฐอเมริกากว่า 81% ยังวางแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์กองทุนที่เกี่ยวข้องกับ ESG ภายในระยะเวลา 2 ปี
อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน ESG ยังคงมีเรื่องน่ากังวล เช่น กรณีที่รัฐบาลของรัฐฟลอริดาถอนเงินลงทุนจากบริษัทที่ปฏิบัติตามหลัก ESG อย่าง BlackRock โดยอ้างว่าข้อเรียกร้องของบริษัทนั้นอาจส่งผลเสียต่อภาคพลังงานของรัฐได้ และเนื่องจากยังไม่มีการกำหนดมาตรวัดของธุรกิจ ESG ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้นักลงทุนไม่สามารถประเมินสถานการณ์ ทั้งยังทำให้หลายฝ่ายไม่มั่นใจกับการลงทุน ESG ด้วย
สัญญาณเหล่านี้นอกจากจะทำให้เห็นกระแสของความเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนให้ความสำคัญกับแนวคิดแบบ ESG มากขึ้น รวมไปถึงความต้องการมาตรฐานในการกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ดังนั้น ก้าวต่อไปกับ ESG ควรเป็นการกำหนดมาตรวัดการปฏิบัติตามแนวทาง ESG ที่ได้มาตรฐานและตรวจสอบได้จริง หรืออาจจะสื่อสารถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ ESG มากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
2. การกุศลรูปแบบใหม่
ที่ผ่านมาหลายคนคงเห็นการรับบริจาคผ่าน NFT เช่น แคมเปญการช่วยเหลือประเทศยูเครน หรือช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีได้สร้างช่องทางและระบบการบริจาครูปแบบใหม่ๆ เช่น OxFam สร้างแพลตฟอร์ม Blockchain ให้ผู้คนสามารถเลือกบริจาคเงินให้กับแคมเปญหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือได้ เช่น หาต้องการบริจาคเงินให้กับผู้ประสบภัยพิบัติ ระบบจะบริจาคเงินโดยอัติโนมัติให้กับองค์กรที่ทำงานช่วยเหลือด้านนี้จริงๆ โดยที่ผู้บริจาคไม่ต้องลงแรงเฟ้นหาองค์กรที่น่าเชื่อถือด้วยตนเอง
รายงานความสุขของประชากรทั่วโลกพบว่า มีผู้หันมาบริจาคให้องค์กรการกุศลเพิ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เสียอีก ไม่เพียงแต่บริษัทเอกชนอย่าง Patagonia ที่เริ่มหันมาบริจาคให้กับองค์กรที่ต่อสู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า “Effective Altruists” ยังบริจาคเงินกว่า 600 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว
สัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า รูปแบบของการกุศลที่เปลี่ยนไปไม่เพียงแต่สะท้อนความก้าวหน้าของเทคโนโลยี แต่ยังทำให้เห็นว่าคนจำนวนมากหันมาสนใจประเด็นที่กระทบต่ออนาคตของคนรุ่นถัดไปในระยะยาวมากขึ้น
แม้ว่าหลายคนจะกังวลถึงการบริจาครูปแบบใหม่ทั้งในเชิงรูปแบบและแนวคิด เช่น ตลาด NFT ที่ค่อนข้างผันผวน หรือบางคนอาจไม่เข้าใจความสำคัญในการบริจาคเพื่ออนาคตระยะยาว เพราะคิดว่าการบริจาคช่วยเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นสำคัญกว่า แต่ในฐานะนักนโยบาย เราควรเปลี่ยนข้อกังวลเหล่านี้ให้เป็นโอกาส ผ่านการตั้งคำถามว่าเราสามารถใช้เทคโนโลยีอย่าง Blockchain เพื่อดึงดูดคนกลุ่มใหม่ๆ จำนวนมากให้มาสนใจการกุศลได้อย่างไร หรือเราสามารถทำงานเชิงความคิดกับประชาชนอย่างไร เพื่อทำให้พวกเขาเห็นภาพว่าการกุศลรูปแบบนี้เป็นการสร้างอนาคตร่วมกันได้
3. สภาพสังคมถดถอยที่ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึง
การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากจะกระทบภาคเศรษฐกิจแล้ว วิกฤตนี้ยังมีผลกระทบต่อสภาพสังคมอีกด้วย Statista พบว่ากว่า 33% ของประชาชนรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นหลังต้องเผชิญกับภาวะโรคระบาด และสถิติของ UNDP ยังพบว่าคนรุ่นใหม่ถึง 35% รู้สึกเบิร์นเอาท์และเครียดจากที่ทำงาน ทั้งยังพบอีกว่า 1 ใน 8 ของประชากรทั่วโลกต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิต
ยื่งไปกว่านั้น ผู้หญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศยังต้องเผชิญกับสภาวะเครียดและเปราะบางกว่าใคร UN Women รายงานว่าเนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นทำงานอยู่ในภาคส่วนเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ (informal sector) เช่น งานดูแลผู้สูงอายุ แม่บ้าน ทำให้พวกเธอไม่ได้รับความคุ้มครองเท่ากับผู้ชาย ไม่ได้รับสิทธิในการลาป่วย ลาป่วยแบบรับค่าจ้างไม่ได้ ไม่มีมาตรการรองรับเมื่อถูกเลิกจ้างกระทันหัน และยังมีวิจัยพบว่า กว่า 1 ใน 6 ของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยเคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะการถูกตีตราจากเพศสภาพและเพศสภาวะของตนเอง
สัญญาณเหล่านี้แสดงให้เห็นความถดถอยของสภาพสังคมที่หลายฝ่ายไม่ให้ความสำคัญมากเท่ากับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ อาทิ ปัญหาสุขภาพจิต การเปลี่ยนแปลงของสภาพการทำงาน รวมไปถึงผลกระทบต่อความเท่าเทียมทางเพศ
จากสภาพสังคมที่คผู้นต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต ทั้งยังต้องต่อสู้กับอคติทางเพศในที่ทำงาน หรือแม้แต่การที่ผู้หญิงอาจเจอความรุนแรงทางเพศระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูสภาพสังคม โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อใจและความน่าเชื่อถือให้กับสังคมอีกครั้ง นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อส่งเสริมสภาพจิตใจให้แข็งแรง และความเท่าเทียมทางเพศที่เข้มแข็งยังเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDG อีกด้วย
4. วิกฤติตลาดแรงงานที่ใกล้เข้ามา
หลายประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนแรงงานซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือผลกระทบเป็นลูกโซ่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีคนลาออกจากงานเพิ่มขึ้นถึง 4.3 ล้านคน เป็นจำนวนที่ทำลายสถิติเมื่อ 23 ปีก่อน และยังพบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากจำนวนแรงงานที่มีมากกว่าตำแหน่งงาน แต่เป็นเพราะประชาชนเริ่มไม่อยากกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานแบบเดิมๆ ที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันเหมือนโลกก่อนโควิด-19 รวมถึงประชากรสูงอายุเริ่มตัดสินใจเกษียณก่อนวัย
นอกจากนี้ นโยบายแรงงานต่างชาติของแต่ละประเทศได้ส่งผลต่อวิกฤติตลาดแรงงานและเศรษฐกิจเหมือนกัน เช่น สหราชอาณาจักรออกนโยบายแรงงานต่างชาติฉบับใหม่ ซึ่งลดจำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างภาคการเกษตรและคมนาคม จนประชาชนรีบตุนสินค้าเพราะกลัวของขาดตลาด ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพุ่งสูงลิ่ว
ในทางกลับกัน ภูมิภาคแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารากลับเกิดการเติบโตของสังคมวัยรุ่น (youth bulge) ในระดับที่คาดการณ์ว่าประชากรวัยทำงานจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าภายในปี ค.ศ. 2050 แต่ประชากรวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ในทวีปนี้ยังมองสถานการณ์ในแง่ และเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะมีงานทำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แม้ว่าสัญญาณเหล่านี้จะแตกต่างกันตามบริบท แต่ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่มีรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลต่อตลาดแรงงานที่น่ากังวลในอนาคต
เราจึงจำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ทันการณ์ โดยรัฐบาลต้องเริ่มสำรวจวิธีใหม่ๆ ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และวิธีดึงดูดและจูงใจให้แรงงานอยู่ในตลาดแรงงานมากขึ้น หรืออาจจะนำความหวังและความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ในทวีปแอฟริกาไปมาปรับใช้กับการพัฒนานโยบาย เพื่อสร้างเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา