เมื่อวันแม่วนมาถึง เรามักจะได้ยินเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นใจเกี่ยวกับเหล่าคุณแม่ ที่เชิดชูความไม่เห็นแก่ตนเองของพวกเธอ ที่ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นก็พร้อมแปลงร่างเป็น ‘ซูเปอร์มัม’ เพื่อปกป้องสมาชิกในครอบครัว อย่างไรก็ตาม ภายใต้เรื่องราวของความรักที่บริสุทธิ์เหล่านี้กลับมีความลับที่ไม่ถูกบอกเล่าอีกมากมายเกี่ยวกับการเสียสละของพวกเธอในฐานะผู้เป็นแม่
ในโลกที่หมุนไปตามอำนาจครอบงำของทุนนิยมปิตาธิปไตย การเป็นแม่มีความหมายหลายอย่าง เช่น “การสูญเสียอาชีพการงาน” เนื่องจากแม่บางคนถูกกดดันให้แบกรับภาระในการดูแลลูก ซึ่งเป็นบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมที่ผู้ติดกับความเป็นผู้หญิงอย่างแนบแน่น ทำให้สัดส่วนผู้หญิงในตลาดแรงงานทั่วโลกมีมากถึง 56% แม้ว่าอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานของผู้หญิงจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค แต่จำนวนของผู้หญิงในครัวเรือนคู่หรือครอบครัวขยายที่มีส่วนร่วมในกำลังแรงงานนั้นต่ำกว่าผู้หญิงที่อยู่คนเดียวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้หญิงถูกบังคับให้ละทิ้งโอกาสในอาชีพการงานเมื่อมีลูก เพราะเหตุนี้ ช่องว่างระหว่างเพศในการมีส่วนร่วมของแรงงานจึงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และท่ามกลางผลกระทบจากโรคระบาด จำนวนผู้หญิงที่มีอาชีพหรือกำลังหางานก็ยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ในทางกลับกัน การเป็นแม่อาจหมายถึง “งานกะที่สอง” ได้เช่นกัน เพราะผู้หญิงที่กลายเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวมักถูกคาดหวังให้จัดการงานดูแลต่างๆ หลังเลิกงานด้วย เช่น ดูแลลูก ดูแลผู้สูงอายุ และทำงานบ้าน สถานการณ์ที่เต็มไปด่วยภาระหน้าที่และความเหนื่อยล้าสะสมเหล่านี้ทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในวิกฤตสุขภาพจิต ขณะเดียวกันความรับผิดชอบในบ้านยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้าในสายอาชีพของพวกเธอด้วย
แทนที่จะแบ่งปันเรื่องราวการเสียสละของแม่ในวันแม่นี้ เรามาลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนถูกบังคับให้ละทิ้งชีวิตที่พวกเธอเคยมี เพื่อที่จะมารับบทบาทแม่กันดีไหม? เราจะช่วยแบ่งเบาภาระแม่ที่ทำงานได้อย่างไร?
1) สร้างและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนแม่ที่ทำงาน
รายงานจากเกาหลีใต้และอินเดียแสดงให้เห็นว่า บรรดาคุณแม่ทำงานต้องดิ้นรนเพื่อรักษาหรือหางานทำหลังคลอดบุตร เนื่องจากพวกเธอเผชิญกับ “โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่” (Motherhood Penalty) หรือการเลือกปฏิบัติต่อผู้ดูแลครอบครัว ปัญหาที่พวกเธอเจอมีตั้งแต่ทัศนคติเหยียดผู้หญิงที่ลดทอนแม่ที่ทำงานให้กลายเป็น ‘ภาระ’ และ ‘พนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ’ ของบริษัท ไปจนถึงการไม่สามารถใช้สิทธิ์ลาคลอดหรือเลี้ยงดูบุตรได้
แคลร์ เคน มิลเลอร์ นักข่าวจาก The New York Times ที่รายงานประเด็นเรื่องเพศและอนาคตของการทำงานได้ตั้งข้อสังเกตว่า วัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนและตอบสนองต่อความต้องการของแม่ที่ทำงานมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหานี้ แทนที่จะบังคับใช้มาตรการลงโทษกับผู้ที่กำลังมีรับมือกับปัญหาจากกบ้านและที่ทำงาน ฝ่ายบริหารควรคำนึงถึงสถานการณ์ที่เหล่าพนักงานกำลังเผชิญ และให้โอกาสให้ผู้ที่เคยออกจากอาชีพการงานเพื่อดูแลครอบครัวกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
Sanofi Italy คือเป็นหนึ่งในบริษัทที่จัดทำโปรแกรมให้คำปรึกษาโดยเฉพาะสำหรับผู้กลับเข้ามาทำงานพร้อมกับภาระหน้าที่ของการเป็นแม่ นอกจากนี้ บริษัทยังอนุญาตให้พ่อแม่ที่ทำงานขยายวันลาได้ จนกว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะบรรลุนิติภาวะ
2) สร้างแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่น
มีรายงานว่าแม่ที่ทำงานผู้ได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจจากที่ทำงาน มีแนวโน้มที่จะออกจากตลาดแรงงานน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปกำหนดให้สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตของผู้ปกครองและผู้ดูแลครอบครัวเป็นสิทธิทางสังคม หลังจากนั้นแนวคิดดังกล่าวถูกกำหนดให้เป็นพื้นฐานของการทำงานที่ยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึง “พนักงานสามารถกำหนดรูปแบบการาทำงานของตนเอง ซึ่งรวมถึงการทำงานจากระยะไกล ตารางเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือชั่วโมงการทำงานที่ลดลง” ตามข้อกำหนดของ Directive (EU) 2019/1158 – work-life balance for parents and carers คาดว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยดึงดูดผู้หญิงและผู้ที่มีบทบาทเป็นผู้ดูแลกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน เนื่องจากเอื้อให้พวกเขามีเวลามากขึ้นเพื่อไปทำหน้าที่ดูแลครอบครัว ขณะเดียวกันยังรับประกันการจ้างงานสำหรับผู้ที่มีภาระหน้าที่ในการดูแลครอบครัวด้วย
3) การลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับค่าจ้าง
การลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้างและได้รับการคุ้มครองงานเป็นหนึ่งในกลไกการคุ้มครองที่สำคัญสำหรับแม่ที่ทำงาน แม้ว่าประเทศไทยจะบังคับใช้การลาเพื่อคลอดบุตรโดยได้รับค่าจ้าง แต่ระยะเวลา 98 วันที่กฎหมายกำหนดกลับถูกวิจารณ์ว่าไม่เพียงพอสำหรับการพักฟื้นหลังคลอด และไม่ครอบคลุมไปถึงผู้ปกครองที่ไม่ได้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด
สำหรับองค์การสหประชาชาติ นโยบายการลาคลอดโดยได้รับค่าจ้าง (paid maternity leave) ถูกขยายเป็นการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรโดยได้รับค่าจ้าง (paid parental leave) พนักงานทุกคนที่มีภาระหน้าที่เป็นผู้ปกครองจะได้รับวันลางานที่ได้รับค่าจ้าง 16 สัปดาห์ สำหรับแม่ที่คลอดบุตร นโยบายระยะเวลาพักฟื้นจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขวิชาชีพ นอกเหนือจากการลาเพิ่มอีก 10 สัปดาห์แล้ว แม่ที่คลอดบุตรซึ่งประจำการอยู่ในตำแหน่งที่มีภาระหนักหรือสภาพแวดล้อมย่ำแย่จะมีสิทธิ์ลางานได้สูงสุด 32 สัปดาห์