ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คำว่า “Black Swan” หรือ “หงส์ดำ” ถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ที่ยากจะคาดการณ์ล่วงหน้าหรือแม้แต่จินตนาการว่าจะเกิดขึ้น โดยผู้ริเริ่มใช้คำนี้คือนักคณิตศาสตร์ชื่อว่า Nassim Nicholas Taleb โดยเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นหงส์ดำ มักมีลักษณะ 3 อย่างต่อไปนี้
1. แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า
2. ส่งผลกระทบที่รุนแรง
3. คาดการณ์ได้หลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว
ตัวอย่างเหตุการณ์แบบหงส์ดำที่คนไทยจำกันได้ดีก็เช่น เหตุการณ์สึนามิในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า ทั้งในแง่ที่เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อใด และยากที่จะคาดการณ์ว่าแผ่นดินไหวจะส่งผลให้เกิดสึมานิในจังหวัดชายฝั่งอันดามันของไทย เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เกิดส่งผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ และกว่าจะทำความเข้าใจได้ว่าสึมานิในครั้งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร และอันที่จริงแล้วพอจะคาดการณ์และป้องกันความสูญเสียได้อย่างไร ก็หลังจากที่เกิดเหตุไปแล้ว
ทั้งนี้ เหตุการณ์หงส์ดำอาจเป็นเหตุการณ์ด้านบวกได้ด้วย ไม่ใช่แค่ด้านลบเสมอไป เช่น ถ้าเราถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ 1 ก็ถือเป็นเหตุการณ์หงส์ดำได้เหมือนกัน แต่เหตุการณ์ที่ดีไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลนัก เหตุการณ์วิกฤตต่างหากที่เราต้องใส่ใจ
ถึงอย่างนั้น เราต้องแยกแยะด้วยว่าไม่ใช่ทุกวิกฤตจะเป็นเหตุการณ์หงส์ดำ ยกตัวอย่างเช่น เฮอริเคนในประเทศอเมริกาอาจถือเป็นวิกฤต แต่ไม่ใช่ทุกเฮอริเคนจะเป็นหงส์ดำ (เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ) แต่เฮอริเคนแคทรินาถือเป็นเหตุการณ์หงส์ดำ เพราะเป็นเฮอริเคนที่รุนแรงและสร้างความเสียหายในระดับที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ดังนั้นแล้วเหตุการณ์หงส์ดำจึงเป็นเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นตัวพลิกสถานการณ์ (game changer) และส่งผลกระทบต่อผู้คนอย่างมีนัยยะสำคัญ
เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์หงส์ดำมากขึ้น เราอาจต้องมองความเสี่ยงเป็นสเปกตรัม กล่าวคือ เราอาจแบ่งความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในสังคมได้เป็น 3 แถบหลักๆ คือ
1. คาดเสี่ยงที่คาดการณ์ได้ (known) – หมายถึงความเสี่ยงที่คาดเดาได้ล่วงหน้าและเกิดขึ้นสม่ำเสมอ เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นแทบทุกปี
2. ความเสี่ยงที่รู้ว่ามี แต่คาดการณ์ยาก (known unknown) – หมายถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ยากจะคาดการณ์ความรุนแรงและผลกระทบ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหว
3. ความเสี่ยงที่เราไม่รู้ไม่เห็น (unknown unknown) – หมายถึงความเสี่ยงที่เราไม่เคยจินตนาการถึงและไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ หรือเรียกอีกอย่างว่า เหตุการณ์หงส์ดำ
แล้วเหตุการณ์หงส์ดำเกี่ยวอะไรกับนักนโยบาย? ถ้าเราไม่สามารถแม้แต่จะคาดการณ์อะไรได้เลย แล้วเราสามารถทำอะไรได้?
“การคาดการณ์ไม่ได้” เป็นคนละสิ่งกับ “การทำอะไรไม่ได้เลย” อย่างน้อยการตระหนักว่าโลกนี้มีเหตุการณ์หงส์ดำที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้เราจะคาดการณ์ไม่ได้ แต่นั่นส่งผลให้เรารอบคอบและเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเสมอ นักนโยบายสามารถใช้แนวคิดหงส์ดำเพื่อขยายขอบเขตจินตนาการเมื่อออกแบบนโยบาย และคิดคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมรับมือสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด เมื่อถือคติเช่นนี้แล้ว นโยบายที่ออกแบบก็จะครอบคลุมและละเอียดลออขึ้น
นอกจากนี้ Green (2011) ยังเสนอยุทธศาสตร์ที่นักนโยบายสามารถหยิบยกไปใช้ในการเตรียมความพร้อมและจัดการกับเหตุการณ์หงส์ดำ ดังนี้
- จิตวิทยาแบบผู้รอดชีวิต (survivor strategy) – การตั้งสติและจัดการกับเหตุการณ์วิกฤตที่อยู่ตรงหน้าโดยอาศัยข้อเท็จจริง สถิติ และความเป็นกลาง
- ทีมแก้วิกฤต (response team) – การจัดทีมช่วยกันแก้ปัญหาในยามวิกฤต เพราะการจัดการกับวิกฤตต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และความเชี่ยวชาญหลากหลายด้าน
- วิจัยและพัฒนา (R&D perspective) – การให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนา จะช่วยให้เราเห็นความเป็นไปได้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่มักถูกมองข้ามไป สิ่งนี้จะช่วยให้นักนโยบายหาทางแก้ได้หลากหลายขึ้นเช่นกัน
- เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัว (risk agility) – การเพิ่มความรวดเร็วว่องไวในการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์และข้อมูลใหม่ๆ จะส่งผลให้รับมือกับวิกฤตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (optimise communication) – การสื่อสารที่รวดเร็ว ชัดเจน และเชื่อถือได้ คือกุญแจสำคัญของการตัดสินใจในภาวะวิกฤต
ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักนโยบาย อาจเป็นการยึดถือทัศนคติว่า “ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ หากเราเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอ”