หาก Black Swan หรือหงส์ดำ เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกภัยพิบัติที่คาดเดาไม่ได้ เรามีคำศัพท์อีกคำหนึ่งที่เอาไว้เรียกเหตุการณ์ที่พอจะคาดเดาและป้องกันได้ แต่ผู้มีอำนาจตัดสินใจและนักนโยบายมักทำเป็นมองไม่เห็น คำนั้นคือคำว่า “Black Elephant” หรือช้างดำ คำนี้มีที่มาจากสำนวน Elephant in the room ซึ่งหมายถึงปัญหาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน แต่เรามักทำเป็นมองไม่เห็น สำนวนนี้เมื่อนำมารวมกับคำว่า Black Swan เป็น Black Elephant จึงหมายถึงภัยพิบัติที่คาดเดาได้ แต่กลับถูกละเลย ทำเป็นมองไม่เห็น
ในเชิงนโยบายและการวางแผนป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือวิกฤตใดๆ ก็ตาม การแยกแยะระหว่าง Black Elephant และ Black Swan เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะในหลายครั้งที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เรามักมองว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันควัน ป้องกันไม่ได้ จึงทำได้แค่บรรเทาเหตุการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้เช่นนี้ถือว่าเป็น Black Swan อย่างไรก็ตาม หลายครั้งหลายเรากลับมองวิกฤตต่างๆ เป็น Black Swan ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นๆ อาจเป็น Black Elephant กล่าวคือ เป็นวิกฤตที่เรารู้อยู่ลึกๆ ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่เรากลับละเลย หรือทำเป็นมองไม่เห็นเงาทะมึนของมัน
เหตุการณ์อย่างหนึ่งที่จนถึงทุกวันนี้หลายคนก็ยังมองเป็นหงส์ ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันคือช้าง นั่นก็คือ ภาวะโรคระบาด COVID-19 เราอาจเข้าใจว่าการแพร่ระบาดดังกล่าวเป็นความบังเอิญของธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วในปี 2019 ดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index) เคยออกมาเตือนว่า ศักยภาพการเตรียมความพร้อมรับมือโรคระบาดของโลกเราอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญ นักนโยบาย และผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้าถึงข้อมูลนี้ แต่พวกเขาแทบจะไม่ทำอะไรเพื่อเตรียมความพร้อมหรือเตรียมลดความเสียหายในกรณีที่เกิดโรคระบาดเท่าที่ควร ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น ดังนั้นเหตุการณ์แบบโรคระบาดโควิด-19 เป็นเหตุการณ์ที่เราจัดได้ว่าเป็น Black Elephant เป็นช้าง ไม่ได้เป็นหงส์ เพราะเป็นภัยที่พอจะคาดเดาได้และเตรียมความพร้อมรับมือได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้อะไรมาก่อนเลย
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์เหตุการณ์ที่ฉายเงาทะมึนอยู่ตรงหน้าเรา เป็น Black Elephan tแต่เรากลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่รับรู้ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติมากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 1970 ถึง 2016 ผู้คนในแถบเอเชียแปซิฟิกเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติมากกว่าผู้คนในภูมิภาคอื่นถึง 5 เท่า และภัยพิบัติที่รอคอยเราอยู่ตรงหน้า (แต่ไม่ได้รับการกล่าวถึงหรือเตรียมความพร้อมรับมือเท่าที่ควร) ก็มีอยู่รายรอบ อาทิ
- แผ่นดินไหว: ผู้คนกว่า 140 ล้านคน ในประเทศบังกลาเทศ เมียนมา และตะวันออกของอินเดีย อาศัยอยู่ ณ เขตมุดตัวของเปลือกโลก ซึ่งเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวรุนแรง แต่ตึกรามบ้านช่องและกฎหมายการก่อสร้างในพื้นที่เหล่านั้นกลับยังหละหลวม และผู้คนจำนวนมากก็ยังยากจน ส่งผลให้ยิ่งเปราะบางต่อภัยพิบัติ
- สึนามิ: ร่องลึกมะนิลาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ สามารถก่อให้เกิดสึนามิในทะเลจีนใต้ ทั้งกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า มีความเสี่ยง 20-50% ที่จะเจอสึนามิสูง 1 กิโลเมตรในศตวรรษหน้า
- พายุ: เวียดนามมีความเสี่ยงต่อการเกิดพายุไซโคลนที่มีความรุนแรง แต่ยังขาดการเตรียมป้องกันที่ดี ซึ่งอาจส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่คนผู้คน
- ภัยแล้ง: แม่น้ำโขงตอนล่าง (ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม) มีความเสี่ยงสูงต่อภัยแล้งในอนาคต และภัยแล้งดังกล่าวอาจนำมาสู่ความสูญเสียในทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีมูลค่าสูงถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์ และส่งผลต่อชีวิตผู้คนกว่า 60 ล้านคน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับภัยพิบัติเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เรามีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ที่นักนโยบายสามารถหยิบยกไปใช้ เพื่อมองให้เห็น Black Elephant แก้ไขและวางแผนให้ทันท่วงที
- อย่าทำเป็นมองไม่เห็นความเสี่ยง: นักนโยบายควรยอมรับก่อนว่าสิ่งที่เป็นความเสี่ยง จะอย่างไรก็คือความเสี่ยง วิถีทางแรกในการจัดการกับเงาดำทะมึนของความเสี่ยงในอนาคตก็คือการยอมรับว่ามีเงานั้นฉายพาดมาอยู่เสมอ การยอมรับความเป็นจริงเช่นนี้จะทำให้การทำงานเป็นไปตามหลักความเป็นจริงและไม่ประมาท
- มองเห็นความเสี่ยง แต่ก็มองเห็นทางออก: การโฟกัสกับแค่ความเสี่ยง อาจยิ่งทำให้เรากังวลว่าการป้องกันและบรรเทาสถานการณ์นั้นทำได้จาก จนรู้สึกหมดกำลังใจ อย่างไรก็ตาม ในภัยพิบัติที่ผ่านๆ มา ก็มีนโยบาย มาตรการ มีทางออกมากมายที่ประสบความสำเร็จ เราสามารถมองหาบทเรียนเหล่านั้น เรียนรู้ และนำมาปรับใช้ได้เสมอ
- ไม่มีตัวชี้วัด ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง: พึงระลึกเอาไว้ว่าตัวชี้วัดเป็นประโยชน์ก็จริง แต่ตัวชี้วัดก็ไม่ใช่ทุกอย่าง และบางทีตัวชี้วัดก็อาจพลาดประเด็นสำคัญๆ ไปได้ เช่น ในการประเมินความพร้อมการเตรียมตัวต่อภัยพิบัติ เราอาจมีตัวชี้วัดทางด้านเศรษฐกิจสังคมครบถ้วน แต่ลืมมิติทางสุขภาพจิตและอารมณ์ของมนุษย์เมื่อเผชิญภัยพิบัติ ก็อาจส่งผลให้เราจัดการปัญหาได้ไม่ดี ทั้งที่ทางสุขภาพจิตก็เป็นมิติที่เราคาดการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือได้
- ทำงานข้ามศาสตร์ ข้ามองค์กร เพื่อมองหา Black Elephant: การทำงานอยู่แค่เพียงในองค์กรของเราเอง และจำกัดมุมมองอยู่กับกลุ่มคนและประสบการณ์ที่เราคุ้นเคยอาจส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นความเสี่ยงต่อภัยพิบัติได้เท่าที่ควร ดังนั้นนักนโยบายควรทำงานแบบข้ามศาสตร์ข้ามศิลป์ รวบรวมความรู้จากคนหลากหลายกลุ่ม (collective knowlege) เพื่อให้สามารถมองเห็นความเสี่ยงหลากหลายมิติ และวางแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและบรรเทาความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด